ตอนที่ 50 แล้วเราจะรักกันตลอดไป
ก๊อก ก๊อก
เสียงประตูถูกเคาะสองที
ทำเอาผมที่กำลังนั่งอ่านรายงานการประชุมถึงกับเงยหน้ามุ่นคิ้ว
เพราะถ้าเป็นเลขาของผม เขาจะรู้ว่าเวลานี้เป็นเวลาที่ผมกำลังทำอะไร
และผมก็เคยสั่งไว้ว่าถ้ามีคนมาหาให้นั่งรอไปก่อน
ซึ่งผมยังไม่ทันจะได้ถามเลขาว่ามีธุระอะไร ประตูก็เปิดออกอ้า แลเห็นใบหน้าลูกชายตัวแสบเดินเข้ามา
“ตอนนี้เป็นเวลางานของพ่อ มีธุระอะไร…”
ผมแทบอ้าปากค้างเมื่อเห็นคนเดินเข้ามาในห้อง
เพราะสองคนแรกที่เดินตามหลังลูกชายผมเป็นพ่อแม่ของคู่แฝด
ซึ่งเป็นเพื่อนของผมสมัยมัธยม แต่กับอีกคนกลับ
เป็นคนๆหนึ่งที่ผมแทบไม่ได้เห็นมานาน (ไม่นับรวมเด็กๆที่ผมเคยเห็นหน้าพวกเขามาก่อนแล้ว)
กำลังเดินเข้ามาในห้อง “…มึง ไอ้บ้างาน!”
ผมลุกขึ้นชี้นิ้วตวาดร่างสูงที่ยืนอยู่ข้างเด็กหนุ่มที่ชื่อว่าบอย
ส่วนอีกฝ่ายก็ทำท่าตกใจนิดหน่อยเมื่อเห็นหน้าผมเหมือนกัน
“อะฮ้า
ที่แท้พ่อของเธอก็คือไอ้แก่หัวโบราณนี่เองหรอกรึ หึๆ”
“รู้จักกันด้วยเหรอครับ” ลูกชายผมถามด้วยความสงสัย
“ใช่แล้ว เรารู้จักกัน” ไอ้บ้างานพูดยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ “เพราะฉันกับพ่อของเธอเราเคยเป็นเพื่อนสนิทที่รักกันม๊ากมากตั้งแต่สมัยประถมแล้ว
แต่พอจบชั้นประถมฉันก็ต้องย้ายไปเรียนที่ต่างประเทศ ก็เลยไม่ได้เจอกันตั้งแต่ตอนนั้น
จะว่าไปได้เจอกันทั้งที มาประเดิมของเก่ากันซักตั้งหน่อยไหมไอ้แก่”
ว่าแล้วอีกฝ่ายก็ถอดเสื้อคลุมออก
ทำเอาผมถึงกับร้องห้ามไปทันที
“ไอ้บ้างาน เราก็อายุไม่ใช่น้อยๆ
ยังจะมาเล่นอะไรกันอีก ไม่เอานะเว้ย!”
“หรือว่ามึงป๊อดไอ้แก่ หึๆ”
!!!!!!!
“กูไม่ได้ป๊อด!” ผมถึงกับฉุนขาดพลางถอดเสื้อสูทตัวนอกที่สวมใส่ออก
ก่อนจะดึงสายเนกไทออกนิดหน่อยเพื่อให้หายใจสะดวก “มึงท้าเองนะไอ้บ้างาน
ถ้าแพ้กูล่ะก็ มึงต้องโดนเตะแน่”
“เออ ขอให้มันจริงเถอะ แต่ถ้ามึงแพ้
มึงต้องยอมรับลูกสะใภ้ด้วยล่ะ”
กึก
คำพูดของมันทำเอาผมถึงกับชะงัก
“มันเกี่ยวอะไรกับเรื่องนั้นด้วยวะ!”
“เกี่ยวสิ เกี่ยวมากๆเลยด้วย” ไอ้บ้างานพูดบิดไม้บิดมือ “ที่กูมาก็เพื่อการนี้
เพราะมึงหัวโบราณมากไปไง กูถึงต้องมาจัดการเอง ไม่งั้นพวกเด็กๆคงไม่สบายใจ”
“ไอ้บอยรีบห้ามพ่อมึงสิ” เสียงคนรักลูกชายผมบอกเพื่อนตัวเอง
“ไม่” เด็กที่ชื่อบอยตอบปฏิเสธ
ยืนกอดอกยิ้มกริ่ม “กูอยากเห็นว่าพวกเขาจะเล่นกันยังไง”
“พี่ซี”
“ถ้าร้ายแรงถึงขั้นเลือดออก
ผมก็จะเข้าไปห้ามครับที่รัก”
ดูเหมือนลูกชายตัวแสบอยากจะดูผมกับไอ้บ้างานลงไม้ลงมือกันเต็มแก่แล้วครับ
“ไม่ต้องพูดแล้วล่ะเรน รินอยากเห็น” น้องชายที่เป็นแฝดพูดเสียงตื่นเต้น
“ใช่แล้วจ้ะลูกเรน ถ้าเลือดออกแม่ก็จะไปซ้ำ
เอ้ย ไม่ใช่ จะไปห้ามทันที”
“พ่อเองก็เหมือนกัน หึๆ”
ดูเพื่อนสมัยมัธยมผมพูดสิครับ เฮ้อ
แสบกันทั้งผัวทั้งเมีย
“เริ่มหรือยังไอ้บ้างาน”
“หึ รอนานอยู่แล้วล่ะไอ้แก่หัวโบราณ”
“งั้นมัวรออะไรอยู่ล่ะ”
“นั่นสิ”
“ย๊าก!”
“ย๊าก!”
ปึก! ปึก!
เสียงคนโดนทุบหัวดังสองครั้ง
ก่อนจะตามด้วยเสียงหวานแผดดังลั่น
“พอเลยทั้งไอ้แก่ทั้งไอ้บ้างาน
โตจนป่านนี้แล้วยังเล่นเป็นเด็กไปได้ อายเด็กเขาบ้างสิยะ” ไม่ต้องสงสัยว่าเสียงนี้ใครพูด
เป็นคุณแม่ของพี่ซีเองครับ ท่านเข้ามาตอนที่คุณพ่อพี่ซีกับคุณพ่อบอยกำลังเล่นมวยปล้ำ
หึๆ มวยปล้ำจริงครับ ต่างผลัดกันทุ่มผลัดกันเตะ ทำเอาห้องทำงานเกือบพังเลยครับ
ข้าวของกระจัดกระจายจนเละไปหมด ตอนนี้ก็เลยต้องมานั่งทำแผล
เพราะพวกท่านเล่นทุ่มกันเอง แต่นี่ยังดีที่พี่ซีเอามือปิดตาผมไว้ ก็เลยไม่เห็นภาพอันน่าหวาดเสียวของพวกท่านครับ
“แทนที่จะหันหน้าคุยกันดีๆ กลับเล่นมวยปล้ำ ตลกล่ะ”
แล้วแม่พี่ซีก็หันมาทางคุณแม่คุณพ่อผมต่อ
“พวกเธอเองก็เหมือนกัน ทำไมไม่รู้จักห้าม”
“แหม ฉันก็อยากเห็นพวกเขาเล่น เอ๊ย
จะตกลงกันยังไง แต่ก็ไม่นึกว่า…”
“ไม่นึกว่าสองคนนี้จะเล่นมวยปล้ำ ฮะๆ” คำพูดของคุณพ่อคุณแม่ทำเอาผมถึงกับส่ายหน้าด้วยความเอือม “ไม่ล้อเล่นล่ะ เลิกทำหน้าบึ้งเหมือนยักษ์ได้แล้ว เดี๋ยวฉันจัดการเอง
อะแฮ่มๆ เรื่องของเด็ก แกก็น่าจะเลิกแอนตี้ได้แล้วนะไอ้แก่ ยอมรับไปเถอะ
มันไม่เสียหายอะไรนี่”
“แต่กูอยากได้หลานมาสืบทอดวงศ์ตระกูล”
“บ๊ะไอ้แก่ อยากได้หลานก็รอลูกดีสิยะ
อย่าบอกนะว่าคุณลืมลูกสาวไปอีกคนแล้วนะ”
“แหะๆ ลืมจ้ะ” คุณพ่อพี่ซียิ้มแห้งๆ
หมดมาดคุณพ่อเขยเลยครับ “ที่รัก
เมื่อไหร่จะให้ผมกลับไปนอนที่บ้านล่ะ ผมเบื่อที่จะนอนโรงแรมแล้ว”
คุณพ่อพี่ซีไม่วายหันไปถามคุณแม่พี่ซี
ทำเอาคุณแม่พี่ซีถึงกับแยกเขี้ยวใส่เลยครับ
“ยัง ฉันยังไม่อนุญาต!”
“เฮ้ยได้ไง มันผ่านไปตั้งหลายวันแล้วนะ”
“ไม่รู้ล่ะ
ก็คุณอยากงี่เง่ากับลูกเรนก่อนนี่!” คุณแม่พี่ซีพูดพลางบิดหูคุณพ่ออย่างแรง
ทำเอาร่างสูงร้องโอดครวญด้วยความเจ็บปวด “ถ้าอยากกลับไปนอนบ้าน
คุณต้องยอมรับลูกเรนเข้าบ้านเราเป็นลูกสะใภ้ที่ถูกต้องด้วย”
“แต่ที่รัก…”
“ไม่มีแต่!” โห
คุณแม่ดุจัง เล่นทำเอาคุณพ่อถึงกับหงอไปเลยครับ “ถ้ายังไม่ยอมรับอีก
ฉันกับคุณได้หย่าขาดกันจริงๆด้วย”
“จ้ะ ยอมรับก็ได้จ้ะ” สุดท้ายแล้วคุณพ่อก็ต้องยอมศิโรราบคุณแม่ไปโดยปริยาย
แต่หลังจากนั้นคุณพ่อพี่ซีได้แอบมากระซิบผม บอกว่าถึงคุณแม่ไม่บังคับ
ท่านก็ยอมรับผมตั้งแต่มาช่วยท่านกับพี่ซีไม่ให้ถูกรถชนตั้งแต่ตอนนั้นแล้วครับ
พอทุกอย่างลงตัวเรียบร้อยแล้ว
พวกคุณพ่อคุณแม่ต่างหันหน้ามาคุยกันอย่างดิบดี กับเรื่องแต่งงานของพวกผม ซึ่งพวกท่านอนุญาตให้พวกผมมีส่วนคิดเห็นเรื่องสถานที่จัดงาน
แน่นอนว่าพวกผมปรึกษาหารือกันอยู่พักใหญ่ (พวกไอ้เต้ให้ความเห็นว่าทะเลดีที่สุด
เพราะมันสวยงามมาก) สรุปก็คือจัดที่ชายทะเลที่จังหวัดภูเก็ตครับ
พวกผมเชิญเฉพาะคนที่รู้จักจริงๆ ส่วนคุณพ่อคุณแม่ ท่านบอกว่าจะเชิญเพื่อนที่สนิทและคนรู้จักมาเท่านั้น
ซึ่งผมก็เห็นดีด้วยเพราะผมไม่อยากให้งานมันใหญ่โตเกินไป (คนมาเยอะเกินทำให้มันสิ้นเปลืองเงินโดยใช่เหตุครับ)
แต่ผมก็เข้าใจคู่บ่าวสาวที่ต้องเตรียมจัดงานได้เป็นอย่างดีครับ เพราะมันวุ่นวายมาก
นี่ยังดีที่ได้คุณแม่กับคุณแม่พี่ซีช่วยนะครับ ไม่งั้นพวกผมคงเหนื่อยยกกำลังสามแน่
ไหนจะต้องเตรียมงาน ไหนจะต้องอ่านหนังสือเตรียมสอบปลายภาค
(วันงานแต่งของพวกผมเป็นวันหลังจากสอบปลายภาคเสร็จนะครับ)
ส่วนเรื่องหลังจากแต่งงานแล้ว พวกคุณพ่อคุณแม่ลงความเห็นว่าจะให้ผมกับพี่ซี
และรินกับบอยอยู่บ้านหลังเดียวกันครับ ทีแรกพี่ซีกับบอยไม่ยอม
แต่สุดท้ายก็ต้องยอมโดยดี เพราะพวกท่านให้เหตุผลว่าไม่อยากให้สิ้นเปลืองเงิน
(ถึงจะรวยแต่ก็ใช่ว่าจะให้ใช้จ่ายเงินแบบสุรุ่ยสุร่ายได้นะครับ)
แถมพวกเรายังเรียนหนังสืออยู่ ก็เลยต้องอยู่ไปด้วยกันก่อน
(เรื่องบ้านเป็นบ้านที่อยู่ใกล้มหาวิทยาลัย
เป็นบ้านที่คุณพ่อพี่ซีเคยปลูกเอาไว้ให้เขาเช่านะครับ)
“ถ้าอยากได้บ้านเป็นของตัวเอง ไว้เรียนจบทำงานหาเงินก่อนสิ
ถึงเวลานั้นฉันจะไม่ห้ามพวกแกอีกเลย”
พ่อพี่ซีถึงกับยื่นคำขาดครั้งที่สองเมื่อพี่ซีไปพูดรบเร้ากับคุณพ่อนะครับ
ส่วนไอ้บอยก็ใช่ว่าจะอยู่เฉย ไปพูดกล่อมคุณพ่อตัวเองอยู่ทุกวันจนทะเลาะกันเกือบถึงขั้นบ้านแตกเลยด้วยซ้ำ
แต่นี่ยังดีที่ได้รินห้ามบอยเอาไว้ ไม่งั้นคงแย่แน่ๆครับ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น