ตอนที่ 46 พวงมาลัยดอกมะลิ
“ไม่เป็นไรหรอกน่าเรน ตาแก่ เอ๊ย
คุณพ่อก็ปากแข็งไปแบบนั้นเอง ความจริงเป็นคนขี้อายด้วยซ้ำ”
“ดี ลูกพูดถึงคุณพ่อแบบนั้นได้ยังไงกันนะเรา
เฮ้อ” คุณแม่พี่ซีพูดพลางถอนหายใจ
ตอนนี้พวกผมนั่งทานสุกี้กันครับ “จะว่าไปสุกี้อร่อยใช้ได้เลย
ลูกทำอาหารเป็นตั้งแต่เมื่อไหร่จ้ะเรน”
“ตอนมอสามครับคุณแม่ อ๊ะ ขอบคุณครับพี่ซี” ผมพูดขอบคุณพี่ซีที่ตักเนื้อมาให้ผม
“คุณแม่เป็นคนสอนใช่ไหมจ้ะ” ผมพยักหน้าตอบครับ “แหม
รสชาติยังเหมือนเดิมไม่มีเปลี่ยน แบบนี้แสดงว่าสอนให้กับมือโดยตรง”
“ผมจะถามอยู่นานแล้ว คุณแม่กับคุณแม่ของผมรู้จักกันนานตั้งแต่เรียนสมัยมัธยมแล้วเหรอฮะ”
“ใช่แล้วจ้ะ
จะเรียกว่าเป็นเพื่อนสนิทก็ยังได้” คุณแม่พี่ซียิ้มตอบ “ความจริงพ่อกับแม่แล้วก็พ่อกับแม่ของลูกเรียนอยู่ที่โรงเรียนเดียวกัน
ตอนนั้นพ่อของหนูเข้ามาจีบแม่โดยใช้แม่ของหนูมาเป็นแม่สื่อ แต่ไม่รู้เป็นไงมาไง
สองคนนั้นดันไปชอบกันเองเฉย”
“แล้วคุณพ่อละคะคุณแม่
คุณแม่กับคุณพ่อคบกันตอนไหนเหรอ” ดีถามต่ออย่างสงสัย
“อืม ตอนไหนนะเหรอ” คุณแม่พี่ซีมุ่นคิ้วก่อนจะร้องอ้อ
“อ้อ ตอนที่พ่อของลูกเรนมาจีบแม่
แต่ตานั่นแอบมาแขวะแม่ว่าแรด ซึ่งแม่ก็ไม่เข้าใจว่าแม่แรดตรงไหน
แม่ก็เลยเถียงพ่อกลับไปว่าแบบนี้เขาไม่ได้เรียกว่าแรด
แล้วก็บอกพ่อว่าน้ำหน้าอย่างพ่อคงไม่เคยจีบผู้หญิงที่ไหนมาก่อน เพราะเอาแต่เรียนๆ”
“สรุปก็คือคุณพ่อเลยท้าขอคบกับคุณแม่ตอนนั้นเลยหรือครับ” พี่ซีพูดสรุป
“ใช่แล้วจ้ะ” คุณแม่ยิ้มตอบ
“แต่จะว่าไปเป็นการคบที่ดูแปลกประหลาดหน่อย
เพราะตานั่นจีบผู้หญิงไม่เป็น”
“แปลกประหลาดยังไงเหรอครับ” ผมถามด้วยความสงสัย
“ก็ปกติคนมาจีบเขาจะเอาดอกกุหลาบสีแดงมาให้ใช่ไหม
แต่ตานั่นดันเอาดอกมะลิมาให้แม่นะสิ”
“ห๊ะ! ดอกมะลิ”
ทั้งผมทั้งพี่ซีทั้งดีต่างร้องอุทานออกมาพร้อมกันเป็นเสียงเดียว
“ใช่แล้วจ้ะ ดอกมะลิ” คุณแม่พูดไปหัวเราะไปพลาง
“แล้วไม่ใช่มาแค่ดอกเดียวนะ
เอามาให้เป็นพวงมาลัยอย่างสวยงามเลย เห็นว่าเป็นคนทำเองกับมือ
แต่ก็ไม่น่าเชื่อนะว่าผู้ชายจะทำของแบบนี้กับเขาได้
แล้วพอแม่ถามเหตุผลว่าทำไมถึงให้ดอกมะลิ ตานั่นก็ตอบมาว่าดอกมะลิเป็นสัญลักษณ์ของวันแม่
ซึ่งเหมาะกับผู้หญิงอย่างแม่ที่สุด”
สมแล้วที่เป็นคุณพ่อพี่ซี
จีบสาวไม่เป็นจริงๆ
แต่จะว่าไปให้พวงมาลัยดอกมะลินี่ก็ดูน่ารักไม่ใช่น้อยเลยแหะ
“ไม่ใช่แค่นั้นนะ
ตานั่นยังเขียนบทกลอนใส่กระดาษหอมลายดอกไม้สวยๆส่งมาให้แม่อีก”
ห๊ะ นี่ยังมีอีกเหรอ
มุ้งมิ้งมากเลยนะเนี่ยพ่อพี่ซี
“แต่บทกลอนที่เขียนใช่ว่าจะไพเราะเพราะพริ้งหรอกนะ
เพราะเจ้าตัวเขียนไม่ค่อยเก่งเรื่องจีบสาว
แต่กับเรื่องสัมผัสโครงกลอนสี่สุภาพอย่างเป๊ะไม่มีผิด” สมควรแล้ว
เด็กเรียนขนาดนั้น “ส่วนเรื่องชวนนัดเดตทานข้าวดูหนังนี่ ยิ่งแล้วใหญ่”
“ทำไมเหรอครับ” พี่ซีเอ่ยปากถามบ้างแล้ว
“ก็พ่อของลูกพาแม่ไปทานข้าวที่บ้านตัวเองนะสิ” อะไรนะ
ทานข้าวที่บ้านตัวเอง “แถมลงมือทำอาหารให้แม่ทานเองด้วย ฮะๆ ไข่ดาวอย่างไหม้
แล้วน้ำดื่มก็เป็นน้ำฝนจากในโอ่งเย็นๆกลิ่นมะลิ”
เอ่อ คุณพ่อครับ ถ้าจะจีบสาวแบบนี้ผมว่าอย่าจีบเลยดีกว่าไหมครับ
เสียเชิงชายหมด
“ส่วนดูหนัง แทนที่จะพาแม่ไปดูที่โรงหนังในห้างสรรพสินค้า
แต่กลับพาแม่ไปดูหนังวิดีโอในบ้านของตัวเอง
โดยให้เหตุผลว่าทำไมต้องไปดูที่โรงหนังด้วย มันสิ้นเปลือง
ไหนจะต้องไปนั่งเบียดคนอื่น กลิ่นก็เหม็นด้วย แถมอากาศที่โรงก็หนาวอีก
สู้ดูที่บ้านไม่ดีกว่าหรือ” เอ่อ เป็นเหตุผลที่พอใช้ได้นะครับ
แต่ผมว่ามันเป็นการเดตที่ไม่ค่อยจะลงทุนซักเท่าไหร่เลย “เห็นจีบซื่อๆบื้อๆแบบนั้นแต่พ่อเขาก็มีมุมลูกผู้ชายเหมือนกัน”
“ยังไงเหรอคะคุณแม่” ยัยดีลุ้นมากไปหน่อยแล้วมั้ง นั่งซะชิดคุณแม่ตัวเองขนาดนั้น
“ก็มีอยู่วันหนึ่งแม่โดนโจรกระชากกระเป๋า
พ่อเขาก็เลยวิ่งไล่ตามไป” โห สุภาพบุรุษตัวจริงเลยครับคุณพ่อ “พอแม่วิ่งตามไปดู
เห็นพ่อกอดรัดฟัดเหวี่ยงกับโจร จนในที่สุดก็ได้กระเป๋ากลับคืนมา
แต่บาดแผลนี่เต็มตัวจนแม่ต้องช่วยพยุงไปส่งโรงพยาบาล”
“โห คุณพ่อสุดยอดไปเลย” ยัยดีเบาๆหน่อยก็ได้
“จะว่าไปแม่คบกับพ่อเขาอยู่นานพอสมควร” คุณแม่พูดพลางมุ่นคิ้วใช้ความคิด
“จนใกล้รับปริญญานั่นแหละ พ่อเขาถึงมาขอแม่แต่งงานด้วย
แต่จะว่าไปก็นึกขำไม่น้อยตอนที่พ่อมาขอแม่แต่งงานนะ”
“คุณพ่อขอคุณแม่แต่งงานยังไงเหรอครับ” ผมถามต่อด้วยความสงสัย
เพราะไม่อยากจะเชื่อเลยว่าคุณพ่อของพี่ซีจะทำแบบนี้กับเขาด้วย
ส่วนคุณแม่พี่ซีเมื่อได้ยินที่ผมถามถึงกับหัวเราะออกมา
“ปกติคนขอแต่งงานต้องดูวันเวลาสถานที่เหมาะสมด้วยใช่ไหมล่ะ”
ครับคุณแม่ แต่จะว่าไปของผม พี่ซีขอผมแต่งงานที่โรงพยาบาลนะครับ (มันก็แปลกเหมือนกัน)
แต่ของคุณพ่อพี่ซีน่าจะแปลกยิ่งกว่าแค่ไหนกัน ชักอยากรู้แล้วสิ “แต่นี่กลับมาขอแม่แต่งงานตอนแม่กำลังทำข้อสอบปีสุดท้ายของมหาวิทยาลัยนะ”
ห๊ะ ขอตอนทำข้อสอบเนี่ยนะ
คิดออกมาได้ไงเนี่ย!
“พอดีแม่กำลังนั่งทำข้อสอบอยู่ในห้องสอบ
แล้วทีนี้คุณพ่อก็วิ่งกระหืดกระหอบเข้ามาที่หน้าห้องแล้วตะโกนขอแม่แต่งงานต่อหน้าอาจารย์คุมสอบเดี๋ยวนั้นเลย
หึๆ เล่นเอาแม่นี่อายเพื่อนจนไม่รู้จะเอาหน้าไปซ่อนไว้ที่ไหน”
คุณแม่พูดไปหัวเราะไปพลาง “ส่วนเรื่องแหวน
เห็นคุณพ่อบอกว่าขับรถไปเอาจากคุณพ่อที่ทำงานในวันนั้นเลยด้วยซ้ำ แต่ลูกเรนไม่ต้องคิดมากนะ
เห็นเย็นชากระด้างกระเดื่องแบบนั้นแต่ลึกๆแล้วอ่อนอย่างกะเป็นขี้ผึ้ง
ใช้ลูกตื้อซักหน่อยเดี๋ยวก็ใจอ่อนเองแหละ”
ขอให้มันอ่อนจริงเถอะ
แค่ทำอาหารให้ก็โดนว่าซะแล้ว
แม้อาหารนอกบ้านจะอร่อยแต่ก็ไม่อุ่นใจเท่าที่บ้าน
ผมขับรถกลับมาบ้านอีกทีก็ดึกมากพอสมควรแล้ว ป่านนี้คงเข้านอนกันหมด
หลังจากจอดรถหน้าบ้านให้คนขับรถประจำบ้านขับไปเก็บ
ผมก็เดินเข้ามาในบ้านก่อนจะตรงขึ้นบันไดไปยังห้องนอนตัวเอง
ซึ่งเดินผ่านหน้าห้องลูกชาย(อดีต)คนโตก็ได้ยินเสียงหัวเราะกิ๊กกั๊ก
หน้าไม่อาย!
ผมคิดพลางส่ายหน้าก่อนจะเดินเข้าห้องนอน
ซึ่งบัดนี้ถูกปิดไฟจนเห็นแต่แสงจันทร์ที่สาดส่องเข้ามาในห้องเท่านั้น
คนรักของผมนอนหลับอยู่บนเตียงคาดว่าคงจะเข้านอนไปได้นานแล้ว
(ปกติเมียผมเข้านอนไวครับ) ผมก็เลยหยิบผ้าเช็ดตัวเข้าไปอาบน้ำในห้องน้ำ
พอเดินออกมาอีกทีมีอันต้องชะงัก เห็นแก้วนมวางอยู่บนโต๊ะคอมพิวเตอร์
(ก่อนหน้าเข้าห้องน้ำยังไม่มีเลยครับ)
ของใครหว่า?
ครั้นจะปลุกถามก็ไม่กล้า เพราะอีกฝ่ายคงหลับไปแล้ว
ก็เลยยกขึ้นดื่มอย่างว่าง่าย ซึ่งมันก็อร่อยใช้ได้เลยครับ นมอุ่นได้ที่
ไม่หวานเกินไป ผมชอบครับ หลังจากดื่มนมเสร็จผมก็แต่งตัวด้วยชุดนอนก่อนจะเข้านอนหลับไปอย่างรวดเร็ว
พอตกเช้าก็ตื่นขึ้นไม่พบคนรักนอนอยู่ คาดว่าคงลงไปข้างล่างก่อนแล้ว
จึงไม่ใส่ใจอะไรมากนัก ก่อนจะเดินเข้าห้องน้ำไป
หลังจากทุกอย่างเสร็จก็เดินออกมาจากห้องลงไปข้างล่าง
ผมได้ยินเสียงหัวเราะกิ๊กกั๊กในห้องครัว จึงไม่ใส่ใจเดินเข้าในห้องรับแขกเพื่อที่จะอ่านหนังสือพิมพ์
ครั้นพอเข้าไปในห้องรับแขกแล้วก็นั่งลงบนเก้าอี้โซฟา
ก่อนจะหยิบปลาท่องโก๋ฉีกใส่ถ้วยกาแฟจับช้อนคนยกขึ้นดื่มเหมือนอย่างเคย
(เมียผมเตรียมให้ทุกเช้าครับ)
เอ๊ะ
ทำไมคราวนี้รสชาติกาแฟถึงได้กลมกล่อมนัก
ผมมุ่นคิ้วพลางมองกาแฟที่ถืออยู่ สงสัยเมียผมคงไปหาวิธีที่ทำให้กาแฟอร่อยขึ้นละมั้ง
คิดได้ดังนั้นจึงดื่มอย่างไม่ใส่ใจ พอดื่มเสร็จก็ลุกขึ้นออกไปเดินเล่นยามเช้า
ครั้นพอเดินกลับเข้ามาในห้องทานข้าว
ก็เห็นข้าวต้มกุ้งกำลังร้อนได้ที่ถูกวางไว้อยู่พร้อมแล้ว
เมียผมนั่งรอทานข้าวด้วยครับ (แต่นั่งยิ้มทำไมหว่า)
“ใครทำ” ผมถามคนรักที่นั่งรอทานข้าวพร้อมผมเหมือนกับทุกวัน
เพราะปกติเมียผมจะทำแค่โจ้กให้ผมทานเท่านั้น “ผมถามว่าใครเป็นคนทำ”
“ฉันทำเองแหละ ทำไม
แค่เปลี่ยนเมนูตอนเช้าถึงต้องถามกันด้วยเหรอ” โธ่
อายุจนปูนนี้แล้วยังทำตัวงอนเป็นเด็กไปได้
“เปล่า ผมก็แค่ถามดูเฉยๆ” ผมบอกปัดก่อนจะตักข้าวต้มกุ้งขึ้นมาทาน ซึ่งมันอร่อยใช้ได้เลยครับ
เล่นเอาผมทานจนหมดเกลี้ยงชาม “เดี๋ยวพรุ่งนี้คุณช่วยทำข้าวต้มแบบนี้อีกให้ผมด้วยนะ”
“จ้ะ” นี่ก็แปลก
ยิ้มอยู่ได้ เดี๋ยวตอนกลางคืนจัดหนักให้ในรอบหนึ่งเดือนเลยนี่
(ถึงจะแก่ก็ยังมีไฟอยู่นะครับ หึๆ) หลังจากทานข้าวเช้าเสร็จผมก็ขับรถออกไปทำงานเหมือนตามปกติ
โดยไม่สนใจลูกชายที่เดินเล่นเกาะไม้เกาะมือถือแขนอยู่สนามหญ้าหน้าบ้านก็ตาม
ก๊อก ก๊อก
“ท่านประธานคะ พอดีคนที่บ้านส่งข้าวกล่องมาให้ค่ะ
จะให้ดิฉันวางไว้ตรงไหนคะ” คำพูดของเลขาทำเอาผมที่กำลังคร่ำเคร่งกับงานเอกสารถึงกับหยุดชะงัก
ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองเห็นอีกฝ่ายถือข้าวกล่องปิ่นโตลวดลายสวยงามอยู่ในมือ “เอ่อท่านประธานคะ...”
“วางไว้บนบนโต๊ะรับแขกนั่นแหละ”
“ค่ะ”
พออีกฝ่ายวางข้าวกล่องปิ่นโตแล้วก็เดินออกนอกห้องทำงานไป
ทำให้ผมต้องลุกขึ้นเดินไปดูด้วยความสงสัย เพราะนานแล้วที่เมียของผมไม่ได้ทำข้าวกล่องปิ่นโตมาให้ผมถึงที่ทำงานนับสิบปีเห็นจะได้
แต่นี่กลับทำมาให้ผมทานอีกครั้ง
“สงสัยอยากจะอ้อนให้ซื้ออะไรอีกล่ะสิเนี่ย”
ผมพูดพลางส่ายหน้าด้วยความอ่อนใจ กะว่าไว้หลังจากทำงานเสร็จแล้ว
จะแวะห้างสรรพสินค้าซื้อของปลอบใจให้คนรักเป็นการตอบแทนสำหรับอาหารกลางวันมื้อนี้ซักหน่อย
แต่ครั้นพอเปิดข้าวกล่องก็พบว่าเป็นข้าวไข่ดาวที่แสนจะธรรมดา
ทำเอาผมถึงกับลอบยิ้มออกมาได้ทันที “นี่ยังไม่ลืมอาหารมื้อแรกที่ฉันทำให้อีกหรอกหรือเนี่ยยัยบ๊องเอ๊ย”
ดีนะที่อีกฝ่ายทำออกมาได้ไม่เกรียมไหม้เหมือนผมที่เคยทำให้กินในครั้งนั้นด้วย
ไม่งั้นมีเฮแน่
ตกเย็นหลังเลิกงานผมก็แวะซื้อดอกไม้ร้านดอกไม้ในห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง
“ไม่ทราบว่าต้องการซื้อดอกไม้อะไรเหรอครับคุณลูกค้า” เจ้าของร้านถามด้วยน้ำเสียงสุภาพ
“ดอกมะลิ” คำตอบของผมทำเอาเจ้าของร้านถึงกับผงะ
“เอาแบบเป็นพวงมาลัย มีไหมล่ะ”
เจ้าของร้านอึ้งไปชั่วขณะ ก่อนจะยิ้มตอบกลับมาว่า
“มีครับ ไม่ทราบว่าจะเอากี่พวงดีครับ”
“พวงเดียวก็พอ” แล้วเจ้าของร้านก็เดินเข้าไปหยิบมาให้ก่อนจะใส่ถุงให้ผม
“เท่าไหร่ครับ”
“ห้าสิบครับ” ซึ่งผมจ่ายเงินให้และทำท่าจะไป
แต่เจ้าของร้านเรียกผมซะก่อน
“เดี๋ยวครับคุณลูกค้า”
“มีอะไร หรือว่าผมจ่ายให้ไม่ครบ”
“ครบแล้วครับแต่…” เจ้าของร้านพูดยิ้มตอบ
ก่อนจะพูดเสียงกระซิบกับผมเบาๆว่า “…ขอเสียมารยาทหน่อยครับ
ไม่ทราบว่าคุณจะเอาพวงมาลัยดอกมะลิไปไหว้พระเหรอครับ”
ผมได้ยินถึงกับชะงักก่อนจะยิ้มตอบคำถามกลับไปว่า
“ไม่ใช่ เอาไปให้เมียนะ”
!!!!!!!!
ปล.ให้เดาว่าฝีมือใคร ^^ ตั้งแต่แก้วนมเลยล่ะกัน หึๆ พ่อพี่ซีตอบที
เล่นเอาเจ้าของร้านดอกไม้ถึงกับเงิบ (ตกใจมาก
ใครที่ไหนจะเอาพวงมาลัยดอกมะลิไปให้เมียล่ะ)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น