วันศุกร์ที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

ตอนที่ 28 ปรับความเข้าใจ

ตอนที่ 28 ปรับความเข้าใจ

“พี่ว่าซีไม่ได้รังเกียจน้องหรอก” พี่ออยบอกหลังจากฟังเรื่องที่ผมเล่าจนจบแล้ว แถมพี่ออยก็ไม่ได้มีท่าทีจะรังเกียจผมอีกด้วย “พี่คบกับมันมานานแล้ว พอรู้ว่านิสัยของมันเป็นยังไง คนอย่างไอ้ซีไม่เคยรังเกียจใครแบบไม่มีเหตุผลหรอก เชื่อพี่สิ”
“แต่…”
“ที่มันไม่พูด อาจจะเป็นเพราะกำลังคิดอะไรบางอย่างอยู่ แต่ไม่ต้องห่วง เดี๋ยวมันก็กลับมาแล้วล่ะ” พี่ออยพูดพลางเอามือลูบหัวผมเบาๆ “เอ่อจริงสิ พี่ลืมไปว่าเมื่อวานเราทิ้งรถไว้ที่ผับนั่นใช่ไหม ตอนนี้พี่กับเพื่อนขับรถมาไว้ที่ลานจอดรถคณะนี้แล้วนะ”
“ครับ ขอบคุณครับพี่ออยน” ผมตอบก่อนจะยื่นมือรับกุญแจรถจากพี่ออยมาเก็บใส่กระเป๋ากางเกง
“ส่วนเรื่อง” พี่ออยหยุดพูดพลางมองหน้าผม ก่อนจะพูดต่อ “บาส คนที่ทำร้ายน้อง พี่ส่งเขาไปโรงพยาบาลแล้ว แต่น้องไม่ต้องเป็นห่วงว่ามันจะกลับมาทำร้ายน้องอีกนะ เพราะโดนซีเล่นงานซะน่วม ฮะๆ”
หลังจากนั้นพี่ออยก็ไล่ให้ผมไปล้างหน้าล้างตาก่อนจะขอตัวไปทำธุระให้กับอาจารย์ต่อ ส่วนผมก็เดินเข้าไปนั่งเรียนหนังสือในห้องเรียน ซึ่งวันนี้ไม่มีอะไรมาก แค่จับคู่สนทนาตามที่อาจารย์สั่ง วันนี้ผมยังไม่เห็นไอ้บอยเข้ามาเรียนหนังสือเลยครับ พอผ่านไปได้ครึ่งคาบ ร่างสูงที่ผมคิดว่าไม่น่าจะมาก็ดันเดินเข้าในห้องเรียนในสภาพที่แก้มบวมเล็กน้อย กับผ้าปิดแผลแปะติดอยู่ที่มุมปาก ดูก็รู้ว่าไปมีเรื่องมาชัวร์ ครั้นพอบอยเดินผ่านมาตรงที่ผมนั่ง มันก็ได้เหลือบตามองมาที่ผม ซึ่งสายตาของมันแลดูเย็นชามากจนผมได้แต่หันหน้าหนีอย่างรู้สึกผิด แล้วมันก็เดินเลยผ่านผมไปโดยไม่พูดอะไรซักคำเดียว ระหว่างเรียน รินได้ส่งข้อความมาบอกผมว่าตอนนี้อยู่ที่มหาวิทยาลัยแล้วไม่ต้องเป็นห่วง เมื่อจบคลาส ผมกะว่าจะไปพูดขอโทษมันอีกครั้ง แต่ก็ไม่ทันครับ เพราะมันดันเล่นเดินหนีขึ้นรถขับออกไปอย่างรวดเร็ว

หลังจากที่ผมเดินกลับมาข้างในตึกคณะ ผมก็โดนไอ้แว่นกับไอ้ไอซ์ลากตัวไปสอบสวน ซึ่งผมก็บอกพวกมันได้คร่าวๆว่ามีปัญหากับเด็กรุ่นน้องต่างคณะเท่านั้น แต่ก็ไม่ได้บอกละเอียดมากครับ ส่วนพวกมันสองคนเห็นว่าผมไม่ยอมบอกอะไรมากกว่านี้ก็เลยไม่คิดจะซักถามต่อ มีเพียงแต่บอกผมว่าตัวเองเป็นถึงประธานนักเรียนปีสามอย่าได้ไปมีเรื่องทะเลาะวิวาทกับใครอีก ไม่งั้นมันจะเป็นเรื่องใหญ่เอาได้ ครั้นตกเย็นไอ้ออยก็กลับมาตึกคณะแล้วครับ ทีแรกผมไม่ได้สนใจว่ามันไปไหนมา แต่พอมันมาถึงก็ดึงมือผมให้ลุกเดินตามมันเฉยเลยครับ
“มีอะไรวะไอ้ออย อีกเดี๋ยวก็จะถึงเวลาเรียกรวมเด็กปีหนึ่งแล้วนะเว้ย”
“เออ แค่เสียเวลาคุยกับกูหน่อยเดียวมันจะตายรึไงวะไอ้ซี มาเลยไม่ต้องพูดมาก” แล้วมันก็ลากผมไปยืนในที่ลับตาคน ซึ่งพอมาถึงมันก็ปล่อยมือแล้วหันหน้ากลับมาทางผมอีกครั้ง “กัดฟันด้วยนะมึง”
“ห๊ะ อะไรนะ” ผมงงครับ แต่ยังไม่ทันหายงงไอ้ออยก็ต่อยผมอย่างแรงหนึ่งที
ผัวะ!
“เฮ้ย หาเรื่องกันรึไงวะไอ้สัดออย!” ผมพูดพลางเอามือกุมแก้มที่ถูกต่อยเพราะรู้สึกเจ็บ
“กูเปล่าหาเรื่องมึง ที่กูต่อยเพราะมึงไปทำให้น้องเรนร้องไห้ตั้งหากล่ะ”
“อะไรนะ เรนร้องไห้เหรอ?
“ก็เออสิวะ แม่ง ต่อยมึงแล้วเจ็บมือชิบหาย” ไอ้ออยพูดไปสะบัดมือไปพลาง “เมื่อตอนเที่ยงเกือบบ่ายกูเห็นน้องมึงนั่งร้องไห้อยู่หน้าตึกคณะ กูเลยเข้าไปถาม ถึงได้รู้ว่าน้องเขาร้องไห้เพราะอะไร มึงเองก็รีบกลับไปหาน้องเรนได้แล้วนะ ไปพูดเคลียร์กับน้องให้รู้เรื่องเดี๋ยวนี้เลย”
“เคลียร์? เคลียร์เรื่องอะไรวะ” ผมถามกลับด้วยความมึนงง แต่มันกลับเอามือตบหัวผมหนึ่งที
“ไอ้สัดโชว์โง่ตลอดเลยนะมึง ที่กูพูดนั้นหมายถึงให้มึงรีบกลับไปพูดให้เคลียร์กับน้องว่ามึงไม่ได้รังเกียจน้องเรนเรื่องความสัมพันธ์ของฝาแฝดนั่นยังไงเล่า”
“เฮ้ย กูไม่ได้พูดว่ารังเกียจเรื่องนั้นกับเรนเลยซักคำ ทำไมถึงเป็นแบบนั้นไปได้”
“ไม่รู้ล่ะ ขืนมึงยังไม่รีบไปอีก เดี๋ยวกูได้เตะมึงส่งโรงพยาบาลแน่ไอ้ซี โทษฐานโชว์โง่ไม่รู้จักเวล่ำเวลา” พอมันพูดจบ ก็ทำท่าจะเตะผมจริงๆครับ ทำเอาผมถึงกับรีบวิ่งออกไปยังลานจอดรถก่อนจะขึ้นรถตัวเองแล้วขับออกไปหาน้องเรนที่คณะศึกษาฯอย่างรวดเร็ว

หลังจบคลาสผมก็เดินเข้าไปซ้อมเปียโนที่ห้องดนตรี ระยะหลังไม่ได้เข้าห้องเชียร์แล้วครับ เพราะต้องอยู่ซ้อมดนตรี ซึ่งพวกรุ่นพี่ก็ไม่ได้ว่าอะไร กลับสนับสนุนผมอย่างเต็มที่ ส่วนกิ๊ฟกลับมาบอกยกเลิกร้องเพลงร่วมกับผม เห็นบอกว่าเสียงตัวเองมีปัญหา ทำให้ไม่สามารถไปร้องแข่งประกวดคู่กับผมได้ (แต่เห็นบอกว่าจะเต้นเดี่ยวแทนครับ) พอซ้อมจนเสร็จ ผมก็เดินออกมาพร้อมกับส่งข้อความบอกรินว่าจะขับรถไปที่ตึกคณะ
เรน : เดี๋ยวเรนจะไปรับที่คณะนะริน ^O^
ริน : อืม จะรอที่เดิม ^O^
แล้วผมก็เก็บมือถือเข้ากระเป๋าเตรียมจะเดินไปที่ลานจอดรถของคณะ แต่ยังไม่ทันได้ไปไหนเลย ก็ดันไปเห็นร่างสูงคุ้นตากำลังเดินมาทางผม ทำเอาผมรีบหันหลังวิ่งหนีทันทีเพราะยังไม่อยากเจอพี่ซีในตอนนี้ครับ แต่ผมก็วิ่งหนีไม่ทัน ถูกร่างสูงวิ่งตามมาคว้าไหล่ให้หันกลับไปก่อนจะสวมกอดผมไว้ซะแนบแน่น
“ปล่อยผมนะพี่ซี ปล่อย!” ผมร้องไปดิ้นไปพลาง จะเรียกให้คนอื่นช่วยก็ไม่ได้ซะด้วย เพราะตอนนี้ไม่มีใครอยู่แถวนี้เลยซักคนเดียว
“ไม่ครับที่รัก ถ้าผมปล่อย คุณก็วิ่งหนีผมสิ” พี่ซีพูดแย้งในขณะที่ผมพยายามดิ้นในอ้อมแขนของเขา แต่สิ่งที่พี่ซีทำไว้เมื่อตอนกลางวัน ทำเอาผมรู้สึกเสียใจจนต้องร้องไห้ออกมาอีกครั้ง
“ฮึก ฮือๆ ปล่อยผม บอกให้ปล่อยผมยังไงล่ะ ฮือๆ ปล่อย!” ผมร้องไห้ทุบหลังพี่ซีไป แต่อีกฝ่ายก็ไม่มีทีท่าว่าจะยอมปล่อยผม “บอกให้ปล่อยไงล่ะ ฮึกๆ ฮือๆ คนใจร้าย ฮือๆ พี่รังเกียจผมแล้วไม่ใช่หรือ ฮึกๆ แล้วนี่กลับมาหาผมทำไมอีก...ฮือๆ”
“ขอโทษ...ขอโทษครับที่รัก...ผมขอโทษ” ร่างสูงยังคงกอดผมพูดกล่าวขอโทษอยู่อย่างนั้น ซึ่งผมไม่รู้ว่าตัวเองร้องไห้นานมากแค่ไหน จนกระทั่งหมดแรงที่จะร้องแล้ว พี่ซีถึงจะคลายกอดผมก่อนจะหันมาใช้นิ้วมือเช็ดน้ำตาให้กับผมเบาๆ “ขอโทษนะครับที่รัก ผมขอโทษที่ทำให้คุณต้องร้องไห้เพราะผม”
“พี่ซี” ผมพูดชื่อร่างสูงพลางจ้องอีกฝ่ายที่มองผมกลับมาด้วยสายตาอ่อนโยน
“ตอนนั้นผมยอมรับว่าผมสับสนกับเรื่องที่ได้ยินมา แถมผมไม่ได้พูดอะไรกับคุณ ก็เลยทำให้คุณเข้าใจผิดไป” พี่ซีพูดพลางเอามือลูบไล้แก้มผมเพื่อเช็ดคราบน้ำตาที่ติดอยู่ตรงนั้น “แต่ผมขอยืนยันอย่างลูกผู้ชายว่าผมไม่เคยรังเกียจพวกคุณสองคนฝาแฝดเลยแม้แต่น้อย ฉะนั้นคุณไม่ต้องคิดมากอีกนะครับที่รัก เพราะนับต่อจากนี้ไปผมจะไม่ให้คุณต้องร้องไห้เสียใจเพราะผมอีก ผมให้สัญญา”
หลังจากปรับความเข้าใจกันเรียบร้อยแล้ว พี่ซีก็ได้เดินมาส่งผมที่รถ โดยก่อนจะจากกันพี่ซีได้เข้ามาจุ๊บปากผมเบาๆด้วย ซึ่งทำเอาผมเกือบขับรถไปรับรินไม่ไหว (ก็คนมันเขินนี่ครับ)

คืนนั้นหลังจากกลับบ้านพร้อมกับริน ผมก็ได้ถามรินด้วยความเป็นห่วง ซึ่งรินก็ไม่ได้ว่าอะไรผมครับ แถมยังถามผมกลับว่าเกิดอะไรขึ้นกับผมบ้าง เจ็บตรงไหนไหม ใครทำอะไรผมบ้างหรือเปล่า ผมเองก็ไม่คิดจะปิดบังน้องชาย จึงบอกไปตรงๆ ส่วนรินก็บอกผมตรงๆด้วยเช่นกันว่าไปเจออะไรมาบ้าง ทำเอาผมอยากจะบ้าตายเมื่อรู้ว่าไอ้บอยทำอะไรกับริน แต่ก็พูดไม่ได้มากหรอกครับ เพราะรินเป็นฝ่ายเริ่มจูบมันก่อน แถมผมเองก็มีความส่วนผิดที่ทำให้รินต้องมาเจอแบบนี้ด้วย (เพราะผมดันไปโกหกมันเอาไว้ เวรกรรมก็เลยตามมาทันยังไงล่ะครับ) ซึ่งพอรุ่งเช้าวันถัดมา ทั้งผมทั้งรินต่างมีเรื่องเซอร์ไพรส์ด้วยกันทั้งคู่ นั่นก็คือพี่ซีกับไอ้บอยได้มายืนรอรับพวกผมอยู่ที่หน้าบ้านแล้วครับ ทำเอาคุณพ่อกับคุณแม่ถึงกับแปลกใจแต่ก็ไม่ได้ว่าอะไรพวกผมสองคนมาก มีเพียงแต่พูดตำหนิเชิงสั่งสอนพี่ซีกับบอยเรื่องการใช้รถยนต์ว่าไม่ควรใช้พร่ำเพรื่อ เพราะสิ้นเปลืองน้ำมันโดยใช่เหตุ แถมเงินที่ใช้มาซื้อน้ำมันก็เป็นเงินของพ่อแม่ตัวเองด้วย เพราะด้วยเหตุนี้ก็เลยทำให้ทั้งผมทั้งรินทั้งพี่ซีทั้งบอยต้องมานั่งรถคันเดียวกันเพื่อไปมหาวิทยาลัย ส่วนรถที่ใช้เป็นรถของที่บ้านผมครับ เพราะคุณพ่อกับคุณแม่ไม่อยากให้พี่ซีหรือบอยขับรถหรูออกไปใช้ในมหาวิทยาลัย เพราะมันดูไม่ดีสำหรับเด็กที่กำลังกินกำลังเรียน (ถ้าถามว่าใครเป็นคนขับนั้น ก็ไม่พ้นพี่ซีครับ) ทำให้บรรยากาศในรถตอนขาไปมหาวิทยาลัยถึงกับครุกกรุ่น เพราะต่างคนต่างไม่พูดไม่จากัน ยิ่งกับพี่ซียิ่งแล้วใหญ่ เพราะไม่ชอบขี้หน้าไอ้บอยมากครับ เมื่อมาถึงมหาวิทยาลัยแล้ว พี่ซีก็ขับรถมาส่งผมกับไอ้บอยก่อนเลยครับ (ตึกคณะผมอยู่ใกล้กว่า ก็เลยต้องมาส่งก่อน)
ที่รักครับ เวลาเรียนอย่าไปนั่งใกล้ไอ้บอยนะครับ ผมหวง คำพูดของพี่ซีทำเอาผมถึงกับหน้าร้อนผ่าว แถมก่อนจะไปมีการจุ๊บมือผมด้วยครับ ตั้งใจเรียนหนังสือนะครับที่รัก จุ๊บๆ
ผมแอบเห็นรินนั่งหันหน้าหนีตอนพี่ซีจุ๊บหลังมือผมด้วยครับ (คงอาย) ส่วนไอ้บอยไม่ต้องพูดถึง พอมันเดินลงจากรถแล้ว ก็จ้ำเท้าเดินเข้าไปในตึกทันทีโดยไม่หันกลับมา หลังจากลาพี่ซีเสร็จผมก็เดินเข้าไปเรียนหนังสือในห้อง พอจบคาบเช้า ตอนพักเที่ยงพี่ซีก็ส่งข้อความมาบอกผมว่าไม่ว่างมาทานข้าวด้วย ให้ทานไปก่อนได้เลย ซึ่งผมก็ไปนั่งทานข้าวกับพวกเพื่อนๆผู้หญิง (พวกกิ๊ฟนะครับ) ก็มีบ้างที่พวกผู้ชายในห้องเข้ามานั่งร่วมวงทานอาหารด้วย (ส่วนไอ้บอยผมไม่รู้ว่ามันหายไปไหน) พอตกบ่ายผมไม่มีเรียนครับ ก็เลยต้องไปนั่งซ้อมเปียโนที่ห้องดนตรีคนเดียว

เมื่อคืนผมได้โทรไปหารินด้วยครับ ซึ่งอีกฝ่ายก็ยอมรับสายผม แต่เนื่องจากไม่รู้จะคุยอะไรกับรินดี ผมกับรินจึงได้แต่ถือสายฟังเสียงลมหายใจของกันและกันอย่างเงียบๆ จนกระทั่งเสียงของเรนตะโกนเรียกให้รินเข้านอนเท่านั้นแหละ ผมถึงกับรีบกดตัดสายทิ้งทันทีเพราะไม่อยากได้ยินเสียงของเรน พอรุ่งเช้าผมไม่รู้เป็นบ้าอะไร ขับรถไปรับรินถึงบ้าน แต่กลับเจอไอ้คนที่มาต่อยผมเมื่อวานนี้ยืนอยู่หน้าประตูทางเข้าบ้าน มันมองหน้าผมด้วยสีหน้าเกรี้ยวกราด ซึ่งผมเองก็มองหน้ามันตอบกลับไปด้วยสีหน้าโมโหด้วยเช่นกัน ไอ้ผมก็หงุดหงิดเมื่อต้องนั่งรถไปพร้อมกับมัน (ไม่อยากนั่งรถกับไอ้รุ่นพี่คนนี้หรอกครับ แต่จำใจต้องยอม) พอมาถึงตึกคณะ มีการคุยกระหนุงกระหนิงบอกลาจนผมต้องเดินจ้ำเท้าเข้าไปในตึก (ไม่ต้องสงสัยหรอกนะครับว่าทำไมผมกับรินถึงไม่ยอมคุยกัน) ช่วงตอนเรียนหนังสือผมก็ไปนั่งเรียนกับพวกเพื่อนอีกกลุ่ม จนจบคลาสแล้วผมก็เลือกที่จะเดินออกไปสูบบุหรี่ข้างนอกแก้เครียด เมื่อสูบจนพอใจแล้วก็เดินกลับเข้ามาเพื่อที่จะไปเข้าห้องน้ำแล้วจึงค่อยไปหาข้าวทาน แต่ในขณะที่ผมกำลังจะเดินไปโรงอาหาร อยู่ๆก็ได้ยินเสียงเปียโนดังขึ้น ทำเอาผมหยุดชะงักเดินก่อนจะมองหาต้นเสียงเพลง (เสียงเพลงมันเพราะครับ) ซึ่งมันอยู่ในห้องที่ผมกำลังยืนอยู่ตรงหน้านี้ ครั้นพอผมเปิดประตูแง้มเข้าไปก็เห็นคนที่ผมโกรธนักโกรธหนากำลังเล่นเปียโนกับร้องเพลงอยู่ในห้องคนเดียวครับ แต่เพราะอีกฝ่ายเล่นเพลงบวกกับการร้องเพลงของเรนได้เพราะมาก ก็เลยทำให้ผมลืมตัวเผลอยืนฟังอยู่อย่างนั้น จนกระทั่งจบเพลงผมถึงได้รู้สึกตัวก่อนจะเดินหนีออกไปโดยที่คนในห้องไม่ทันได้รู้สึกตัวว่ามีใครแอบฟังอยู่ ผมเดินออกมาได้ไกลแล้วจึงหยุดเดินก่อนจะคิดว่าตัวผมเป็นอะไรกันแน่ ทำไมเมื่อครู่นี้ถึงหยุดยืนฟังได้ตั้งนานทั้งๆที่ผมควรน่าจะเดินหนีออกมา ใช่ว่าผมจะเกลียดเรนคนเดียว รินก็ด้วยเช่นกันครับ แต่ถ้าให้เทียบแล้วเรนสวมควรที่ถูกผมเกลียดมากกว่า เพราะเรนแทนที่จะห้ามรินเรื่องสลับตัว กลับสนับสนุนน้องชายให้หลอกคนอื่นได้เกือบเดือน
Trr…

เสียงมือถือดังขึ้น ทำเอาผมหยิบมือถือขึ้นมาดูก่อนจะมุ่นคิ้วเมื่อเห็นชื่อของคนที่โทรเข้ามา (เป็นพ่อของผมเองครับ) แต่ผมขี้เกียจคุยด้วยจึงตัดสายทิ้งก่อนจะปิดเครื่องหนีเสียเอาดื้อๆ แต่โดยหารู้ไม่ว่าการปิดเครื่องหนีในครั้งนี้ทำให้ผมต้องมีเรื่องเดือดร้อนในภายหลังอย่างที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ 

ตอนที่ 27 ประจันหน้า

ตอนที่ 27 ประจันหน้า

หลังจากที่ผมเล่าเรื่องความสัมพันธ์เชื่อมโยงของผมและรินกับเรื่องของบอยให้พี่ซีรู้จนหมดแล้ว ร่างสูงถึงกับเงียบไป ไม่พูดไม่จา แถมขับรถเดินหน้าต่อจนถึงมหาวิทยาลัย ทันทีที่ผมเดินลงจากรถที่หน้าตึกคณะของตัวเองแล้ว พี่ซีก็ขับรถออกไปอย่างรวดเร็วโดยไม่พูดบอกลาซักคำเดียว
ทำไมไม่พูดอะไรบ้างเลยล่ะ?
ไหนว่ายอมรับได้ทุกเรื่อง...
แหมะ แหมะ
น้ำตาไหลอาบแก้มหยดลงพื้น ผมมองรถของพี่ซีที่เพิ่งเลี้ยวออกไปก่อนจะนั่งยองก้มหน้าฟุบกับฝ่ามือร้องไห้เสียงสะอื้นอย่างหมดแรง หมดแรงจนไม่คิดอยากจะทำอะไร อยากนั่งเฉยๆอยู่อย่างนี้ไปเรื่อยๆ ซึ่งระหว่างที่ผมร้องไห้อยู่นั้นก็มีคนเข้ามาถามผมบ้าง แต่ผมไม่คิดจะเงยหน้าขึ้นตอบหรอกครับ อยากจะว่าอยากจะหัวเราะที่เห็นผู้ชายมานั่งร้องไห้ก็เชิญตามสบาย
“น้องเรนเป็นอะไรไป ทำไมมานั่งร้องไห้อยู่ตรงนี้คนเดียวล่ะ” เสียงคุ้นหูดังขึ้น ก่อนที่ผมจะถูกมือหนาฉุดให้ลุกขึ้นยืน แต่ผมมองไม่เห็นอะไรเลยเพราะถูกน้ำตาของตัวเองบดบังจนหมด “ว่ายังไงล่ะหืม? มีอะไรไม่สบายใจก็มาพูดระบายกับพี่ได้นะ”
พออีกฝ่ายพูดจบ ผมก็คว้าร่างสูงกอดหมับทันที ใครจะว่าผมแรดก็ช่าง เพราะตอนนี้ผมต้องการที่พึ่งพิง ต้องการคนปลอบใจ
“พี่ออย ฮึกๆ พี่ออย ฮือๆ”
“เอาเข้าไป ร้องไห้เป็นเด็กไปได้นะเราเนี่ย” พี่ออยพูดพลางตบไหล่ลูบหลังผมเบาๆเพื่อปลอบให้ผมหยุดร้องไห้ “พี่ว่าเราไปนั่งคุยกันข้างในตึกคณะเถอะ เพราะตรงนี้คนมันเดินพลุกพล่านเยอะ”
ผมพยักหน้าตอบก่อนจะถูกร่างสูงจับมือให้เดินตามเข้าไปข้างในอย่างเงียบๆ พอไปข้างในตึกแล้ว พี่ออยก็พาผมนั่งเก้าอี้ใต้ต้นไม้ ซึ่งทีแรกผมลังเลที่จะเล่า เพราะกลัวพี่ออยจะรังเกียจ แต่พอเห็นสีหน้าจริงจังของพี่ออยแล้วทำเอาผมตัดสินใจเล่ามันออกมาอย่างไม่คิดปิดบัง

ผมเดินออกมาข้างนอกห้องนอนก่อนจะเดินลงบันไดมา (ย้ำเดินเกาะราวบันไดครับ) แลเห็นตัวบ้านที่ไม่ใหญ่โตมากนัก ถึงแม้จะเงียบไม่มีคนอยู่แต่ก็ดูสะอาดสะอ้านผิดกับนิสัยของเจ้าของบ้านที่พาผมมานอนที่นี่ลิบลับ ครั้นพอเดินลงมาข้างล่างแล้ว ผมก็เห็นกรอบรูปภาพที่ติดฝาผนัง เป็นภาพของไอ้บอยกับพ่อแม่ของมัน ซึ่งตอนนั้นมันยังเด็กอยู่เลยครับ (หน้าของมันงี้ยิ้มแย้มแจ่มใส)
“เมี้ยว”
เสียงแมวร้องดังขึ้นก่อนที่ผมจะรู้สึกเหมือนว่ามีอะไรมาคลอเคลียที่ข้อเท้า ทำเอาผมต้องก้มลงมองดู แลเห็นแมวสีสวาดพันธุ์ไทยมายืนเอาหัวคลอเคลียกับข้อเท้าผมไปมา
“น้องแมวนี่” ผมร้องอุทานด้วยความดีใจ เดิมทีผมเป็นคนรักสัตว์ครับ อยากได้แมวมาเลี้ยงซักตัว แต่คุณพ่อกับคุณแม่ไม่อนุญาต ก็เลยทำให้ผมต้องไปเล่นกับแมวที่บ้านของอาร์ทแทน (บ้านของมันมีอยู่สี่ตัวครับ พันธุ์เปอร์เซียสีขาวล้วนน่ารักมาก) พอเจอแมวตัวนี้แล้วทำเอาผมย่อตัวลงช้อนตัวมันอุ้มขึ้นทันที “แมวน้อยเอ๋ย เจ้าชื่ออะไร มาที่นี่ได้ยังไงล่ะจ้ะ”
“เมี้ยว เมี้ยว”
“อ๋อ ชื่อจี้เหรอ แหม ช่างเป็นชื่อที่เพราะซะจริงๆนะ” ผมพูดก่อนจะลูบหัวมันเบาๆ แต่กลับต้องชะงักเมื่อเห็นร่างสูงอย่างไอ้บอยกำลังยืนยิ้มอยู่ ทำเอาผมรีบวางแมวน้อยสีสวาทลงก่อนจะหันหน้าหนีด้วยความเขินอาย
“อ้าว แล้วนั่นจะไปไหน ไม่เล่นกับน้องจี้ต่อแล้วเหรอครับเมีย” ดูมันแซวผมสิครับ ไอ้หน้าด้าน! ไอ้หื่นเรียกพี่!
“จะไปห้องน้ำ!
“อ้อเหรอ แต่ห้องน้ำไม่ได้ไปทางไหนนะครับเมีย”
เพล้ง!
หน้าแตกหมอไม่รับเย็บครับ
“ไม่ไปแล้ว! หิว! จะให้กูไปแดกข้าวได้ที่ไหนล่ะ!” ผมพูดแก้เขิน ซึ่งทำเอาไอ้บอยถึงกับหัวเราะหึ หึพ่องมึงดิ ไอ้บ้านี่จะหัวเราะเยาะผมไปถึงไหนกันแน่เนี่ย
“ครับๆ เดี๋ยวกูพาไป ว่าแต่เดินไปไหวแน่เหรอครับ ให้อุ้มเอา...โอ้ย!” เพราะมันเล่นทำท่าจะเข้ามาอุ้มผมนะสิครับ ผมถึงได้ต้องทุบไหล่มันแรงๆไปหนึ่งที
“กูดูเดินเองได้ มึงรีบนำทางไปเลย กูหิว!
“คร้าบๆจะรีบเดินนำให้เดี๋ยวนี้แหละครับ อูย เมียใครไม่รู้ รุนแรงเป็นบ้า” มันบ่นครับ ผมเลยตีไหล่มันไปอีกครั้งด้วยความหมั่นไส้ (ส่วนแมวน้อยก็เดินตามพวกผมมาด้วยนะครับ) ซึ่งระหว่างทานข้าวไปผมก็เล่นกับแมวน้อยไปพลาง (บอยบอกว่ามันชื่อเลิฟลี่) แต่ผมก็อดคิดไม่ได้ว่าผมกับมันตอนนี้อยู่ในสถานะไหนกันแน่ เพราะตอนนี้เป็นมากกว่าเพื่อนแต่ไม่ใช่แฟน ระหว่างผมกับมันจะใช่วันไนท์สแตนด์หรือเปล่านั้นผมก็ไม่ทราบครับ แถมมันเอาแต่เรียกผมว่าเมียๆอยู่ร่ำไป (ก็มันไม่ได้บอกรักผมนี่ครับ แล้วผมก็ไม่ได้ชอบมันด้วย) พอกินข้าวเสร็จแล้ว มันก็ขับรถพาผมไปมหาวิทยาลัยครับ พอมาถึงลานจอดรถตึกคณะวิศวะแล้ว ผมกับมันก็เดินลงจากรถครับ “ให้กูเดินไปส่งด้วยนะเมีย นะครับนะ ขอร้องล่ะ เห็นแก่ผัวมึงด้วยนะครับ”
“เฮ้ยไม่ต้อง กูไปเองได้”
“ไม่ กูจะไปส่งมึง” น่าน ยังเถียงอีกนะไอ้บอย “ถ้าเกิดมึงเป็นลมไป ใครจะช่วยมึงห๊ะ”
“ก็คนที่เดินผ่านไปมาแถวนี้นะสิถามมา...”
ผัวะ!
ผมยังพูดไม่ทันจบ ไอ้บอยก็ถูกใครบางคนจับไหล่ให้หันกลับไปก่อนจะถูกต่อยอย่างแรง จนมันกระเด็นลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไอ้ผมก็มองตามมันอย่างตกใจเพราะไม่คิดว่าบอยจะถูกคนอื่นลอบทำร้าย ครั้นพอผมหันหน้าไปมองคนต่อยเพื่อที่จะเอาเรื่อง ก็ทำเอาผมถึงกับตกตะลึงจนตัวแข็ง เพราะคนที่ต่อยบอยนั้นก็คือ...
“พี่ซี?!

หลังจากที่ผมส่งคนรักไปที่ตึกคณะศึกษาฯแล้ว ก็ขับรถวนกลับมาที่ตึกคณะตัวเองด้วยจิตใจที่สับสน เพราะเรื่องที่ได้ยินมามันเป็นเรื่องเหนือเกินธรรมชาติ แถมนอกจากนี้เรื่องของไอ้บอย เด็กปีหนึ่งคณะเดียวกับน้องเรนก็ดันไปฟีทเจอริ่งกับน้องรินอีกด้วย (ที่รักบอกว่าน่าจะเป็นเพราะตนเองมีความรู้สึกทางเพศ ก็เลยทำให้รินมีความรู้สึกอยากแบบเดียวกับตน) มิน่าเล่า ตอนที่ผมอาบน้ำให้ เห็นว่ามีบางจุดที่ผมไม่ได้ทำเอาไว้กลับมีขึ้นมาอย่างน่าแปลกประหลาด ไหนจะเรื่องที่อยู่ๆก็เป็นไข้ขึ้นอย่างฉับพลันทั้งที่ก่อนหน้านี้ไม่ได้ป่วยเลยแม้แต่น้อย (ถ้าจะว่าผมทำน้องทั้งคืนจนป่วยก็ไม่ใช่แล้วครับ เพราะรุ่งเช้าตื่นมาน้องเรนไม่ได้มีทีท่าว่าจะป่วยเลยด้วยซ้ำ) ส่วนเรื่องรอยแผลเป็นตามร่างกาย เรนก็บอกว่านี่เป็นฝีมือของพ่อกับแม่ที่แท้จริงของตน ซึ่งได้ถูกไฟไหม้ครอกตายไปนานแล้ว (พ่อแม่ที่อยู่ด้วยนี้คือพ่อแม่บุญธรรมครับ) ฉะนั้นถ้าให้ถามว่ารินมีแผลเป็นแบบเดียวกับที่เรนมีหรือไม่นั้น ขอตอบได้ว่ามีครับ มีเหมือนกันทุกประการอย่างไม่มีผิดเพี้ยน
มึงเป็นอะไรไปวะไอ้ซี เห็นมาแล้วเอาแต่นั่งเหม่อลอย มีอะไรไม่สบายใจหรือเปล่า มาปรึกษาพวกกูได้ไหมนะมึง ไอ้แว่นมันคงเห็นผมนั่งเงียบที่โต๊ะประจำของปีสามก็เลยเดินเข้ามาถามด้วยความเป็นห่วง (บ่ายนี้ผมไม่มีเรียนหรอกครับ พวกผมก็เลยต้องมานั่งรอฆ่าเวลาจนกว่าถึงเวลาเรียกรวมเด็กปีหนึ่งเข้าห้องเชียร์)
กูไม่ได้เป็นอะไรหรอก แค่มีเรื่องคิดอะไรนิดหน่อยนะผมฝืนยิ้มตอบกลับไป ว่าแต่ไอ้ออยล่ะ มันมาหรือยัง กูว่าจะให้มันอยู่ช่วยแทนกูตอนเข้าห้องเชียร์ซักหน่อย
อ๋อ ไอ้ออยมันถูกอาจารย์ใช้หอบเอกสารไปส่งที่ตึกคณะศึกษาฯนะ อีกเดี๋ยวก็คงมาเองนั่นแหละพอมันเห็นผมไม่ถามอะไรต่ออีก ก็เลยก้มหน้าก้มตาทำการบ้านของมันไป ส่วนไอ้ไอซ์ก็นั่งทำการบ้านอยู่ข้างๆนี่แหละครับ แต่จนแล้วจนรอดไอ้ออยก็ยังไม่มา ซึ่งผมก็ไม่ได้คิดอะไรมาก เพราะไอ้ออยมันเป็นแบบนี้อยู่เสมอ ชอบอยู่ไม่เป็นที่ แถมชอบโดนอาจารย์ท่านอื่นใช้งานไปทั่ว ผมนั่งคิดแล้วคิดอีกจนกระทั่งเห็นรถฮอนด้าซีวิกสีประตูสีเขียวแล่นเข้ามาจอดที่ลานจอดรถ ซึ่งทีแรกผมไม่ได้สนใจหรอกครับ แต่ครั้นพอผมเห็นคนข้างในรถเดินออกมาเท่านั้นแหละ ก็ทำให้ผมตัดสินใจอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ จึงลุกขึ้นยืนพรวดพราดก่อนจะเดินออกไปหาสองคนนั้นที่เพิ่งลงจากรถโดยไม่สนใจฟังเสียงเรียกของไอ้แว่นครับ เฮ้ยไอ้ซี นั่นมึงจะไปไหนนะ
ผมเห็นสองคนนั้นยืนคุยกันครับ โดยคนที่ยืนหันหลังนั้นยังไม่รู้ตัวว่าผมได้เดินเข้าไปใกล้แล้ว เมื่อผมเดินมาถึงตัวของมัน ก็คว้าไหล่มันให้หันกลับมาก่อนจะใช้หมัดตะบันหน้าอย่างแรงทันที
ผลัก!
ด้วยแรงหมัดของผมทำเอาร่างสูงอย่างไอ้บอยล้มลงไปอย่างรวดเร็ว แล้วร่างบางที่มีหน้าละม้ายคล้ายคนรักของผมก็หันหน้ามาเอาเรื่องกับผม แต่กลับต้องชะงักไปเมื่อเห็นว่าเป็นผม
พี่ซี?!
ใช่ผมเอง
อ๋อ คนนี้นี่เองเหรอที่มึงบอกว่าเรนชอบอยู่คนโดนต่อยลุกขึ้นยืนครับ หึ ดีเลย กำลังอยากจะเจออยู่พอดี
ไอ้บอยทำท่าจะเข้ามาต่อยกับผมด้วยครับ แต่กลับถูกร่างบางขวางเอาไว้
ไอ้บอยอย่านะมึง!น้องรินตวาดเสียงใส่มันก่อนจะหันหน้ากลับมาทางผม พี่ซี นี่พี่คิดจะทำอะไรกันแน่ ทำไมถึงต้องมาต่อยกันด้วย
ผมพ่นลมหายใจก่อนจะตอบคำถามของร่างบางกลับไป
หนึ่ง ผมทนดูไม่ได้ที่เห็นเรนต้องร้องไห้เพราะถูกใครบางคนพูดทำร้ายจิตใจ สอง ผมทนไม่ได้กับสิ่งที่มันทำกับคุณ และสาม…ผมเว้นพูดไประยะหนึ่งพลางสืบเท้าเข้าไปใกล้ ทำเอาน้องรินสะดุ้งตกใจรีบยกมือกั้นผมไม่ให้เข้าไปหาไอ้บอย ซึ่งผมก็ไม่ได้คิดเข้าไปใกล้มากกว่านี้หรอกครับ …ผมหึง ผมไม่อยากให้ผู้ชายหน้าไหนเข้ามาใกล้เรน ต่อให้แม้คนนั้นจะเป็นเพื่อนสนิทที่เรียนอยู่คณะเดียวกันเองก็ตาม

ผมหึง ผมไม่อยากให้ผู้ชายหน้าไหนเข้ามาใกล้เรน ต่อให้แม้คนนั้นจะเป็นเพื่อนสนิทที่เรียนอยู่คณะเดียวกันเองก็ตาม คำพูดของรุ่นพี่ที่ชื่อซีไม่ได้เข้าหูผมแม้แต่น้อย เพราะมีบางสิ่งที่ทำให้ผมต้องสนใจไปมากกว่านั้น นั่นก็คือการที่ร่างบางอย่างรินเอาตัวเข้ามาบังผมไว้ไม่ให้อีกฝ่ายได้เข้ามาทำร้ายกับผมอีกซ้ำสอง ผมจะไม่ประหลาดใจเลยถ้ารินปล่อยให้อีกฝ่ายเข้ามาต่อยหน้าผมอีกครั้งอย่างไม่แยแส แต่กลับเลือกที่จะช่วยผมทั้งๆที่ผมเป็นฝ่ายทำร้ายมันก่อน
พี่ซี ได้โปรดกลับไปเถอะครับ เพราะเดี๋ยวทางนี้ผมจะเป็นคนจัดการเอง ไม่รู้ว่าทั้งคู่พูดไปถึงไหนแล้ว เพราะผมเอาแต่มองแผ่นหลังร่างบางเพียงอย่างเดียว รู้แต่เพียงว่ารินกำลังพยายามพูดไกล่เกลี่ยอีกฝ่ายให้กลับไป ซึ่งดูเหมือนคนชื่อซีเริ่มจะสงบใจลงได้ จึงพยักหน้าตอบร่างบางโดยดี
ตกลง ผมจะยอมถอย แต่…อีกฝ่ายพูดพลางพยักหน้าก่อนจะเหลือบตามามองที่ผมอย่างระแวง “…ถ้าไม่ไหวหรือเขาได้ทำร้ายน้องอีกล่ะก็ ให้รีบมาหาผมได้เลยทันทีนะ
ครับพี่ซี
แล้วอีกฝ่ายก็ยอมถอยไปพร้อมกับเพื่อนอีกสองคน (น่าจะเป็นเพื่อนของคนชื่อซี สงสัยกลัวว่าจะมีเรื่องถึงได้ตามมาดู) พอไปกันหมดแล้วรินก็หันหน้ามาหาผมก่อนจะยื่นมือบางขาวมาแตะแก้มของผมเบาๆราวกับกลัวผมจะเจ็บ
“เจ็บมากหรือเปล่า” ผมอึ้งไปชั่วขณะ เพราะไม่คิดว่ารินจะพูดประโยคนี้กับผม
“ก็..ไม่เท่าไหร่หรอก” ผมตอบด้วยน้ำเสียงกระท่อนกระแท่น ตัวแข็งค้างเพราะถูกมือบางลูบไม่หยุด
“ไปห้องพยาบาลทายาหน่อยไหม เพราะทิ้งไว้เดี๋ยวมันจะอักเสบจนบวมไปเสียเปล่าๆ” แต่ร่างบางไม่รอคำตอบ กลับดึงข้อมือผมให้เดินเข้าไปในตัวตึกทันที รินจูงผมเดินไปเรื่อยๆจนกระทั่งถึงห้องพยาบาล ก่อนจะพากันเดินเข้าไปในนั้น ซึ่งภายในห้องไม่มีใครอยู่เลย “มึงนั่งรอไปก่อนนะ เดี๋ยวกูไปหยิบยามาให้”
แล้วรินก็ไปหยิบยาครับ ดูท่าทางทะมัดทะแมงมาก ราวกับว่ารู้จักตัวยาเป็นอย่างดี พอได้ยามาแล้วอีกฝ่ายก็เดินกลับมาหาผมก่อนจะนั่งลงบนเก้าอี้ตรงหน้า
“แสบหน่อยนะ เพราะมึงต้องทายาแอลกอฮอล์ฆ่าเชื้อ” มันบอกพลางใช้คีมคีบสำลีจุ่มแอลกอฮอล์ก่อนจะมาเช็ดมุมปากของผมอย่างแผ่วเบา ทำเอาผมได้แต่จ้องมองร่างบางอยู่อย่างนั้น จนกระทั่งอีกฝ่ายเช็ดเสร็จก่อนจะตามด้วยยาแดงทับซ้ำอีกที “กูกับเรนเคยเจอเหตุการณ์ที่ต้องเจ็บตัวบ่อย ก็เลยชินกับการรักษาแผลให้กันและกัน อย่างที่มึงรู้นั่นแหละ กูกับเรนมีสิ่งที่เชื่อมโยงเข้าด้วยกัน กูเจ็บเรนก็จะเจ็บ กูป่วยเรนก็จะป่วย แต่กับความตาย กูไม่รู้ ไม่แน่ว่าถ้าคนใดคนหนึ่งตาย อีกคนก็อาจจะตายตามก็ได้”
“เรื่องเป็นตายอย่าได้พูดอีก กูไม่ชอบ” ผมพูดสวนอย่างไม่พอใจทันที เพราะตั้งแต่แม่ตายไป ผมก็เห็นความตายเป็นของแสลง ที่ผมไม่อยากแม้แต่จะได้ยิน ส่วนร่างบางก็ไม่ได้พูดอะไรออกมาอีก เอาแต่นั่งเช็ดแผลกับหาเจลเย็นมาประคบแก้มผมที่เริ่มจะปวดอยู่อย่างนั้นเงียบๆ เมื่อจัดการแผลเรียบร้อยแล้ว รินก็เดินไปส่งผมที่รถ ต่างคนต่างมองหน้าจนร่างบางเป็นฝ่ายพูดก่อน
“มึงหายโกรธพวกกูหรือยัง”
“เรื่อง?
“ก็เรื่องที่กูกับเรนเล่นสลับตัว...”
“ยัง” ผมตอบกลับไปทันทีโดยไม่คิดให้เสียเวลา ซึ่งทำเอาร่างบางถึงกับผงะ “ขอบอกตามตรงว่าตอนที่เรนสารภาพความจริงกับกู ทำเอากูแทบช็อก เพราะกูทั้งเสียความรู้สึกทั้งรู้สึกโกรธที่โดนพวกมึงสองคนหลอกเอา”
“บอย” ร่างบางพูดครางชื่อผมอย่างแผ่วเบา ซึ่งผมหันหน้ากลับไปบิดกุญแจก่อนจะสตาร์ทรถทันที
“เดี๋ยวคืนนี้กูจะโทรไปหามึงนะ คอยรับสายด้วยล่ะ”

แล้วผมก็เหยียบคันเร่งขับออกไปจากตึกคณะวิศวะทันทีด้วยจิตใจที่สับสน

ตอนที่ 26 สับสน

ตอนที่ 26 สับสน

ผมตื่นขึ้นมาอีกทีก็เกือบเที่ยงแล้วครับ ดีนะที่วันนี้ไม่มีสอบ ไม่งั้นผมตายหยังเขียดแน่ ส่วนพี่ซีนั้นก็ช่างเอาอกเอาใจผมเสียเหลือเกิน ยอมโดดเรียนเพื่ออยู่เฝ้าไข้ผมด้วย (เมื่อเช้ามีไข้นิดหน่อยครับแต่ตอนนี้หายแล้ว) ส่วนคุณแม่ของพี่ซีนั้นก็ได้แวะเข้ามาหาผมด้วย ซึ่งดูเหมือนท่านจะดีใจมากที่ผมยอมรับพี่ซีเป็นแฟน(?) แถมยัยดีที่เคยแอบแขวะผมกลับเห็นดีเห็นงามที่ผมเป็นแฟนกับพี่ซีด้วย (อะไรของยัยนี่กันหว่า ตามไม่ทันแล้วนะครับเนี่ย)
“ที่รักครับ ผมเพิ่งนึกขึ้นได้เมื่อเช้าน้องรินได้โทรมาหาคุณด้วยนะ” พี่ซีบอกในขณะที่ขับรถพาผมกลับไปเรียนหนังสือต่อตอนบ่าย (เด็กดีต้องไม่โดดเรียนครับ)
เหรอครับพี่ซีผมตอบก่อนจะหยิบมือถือขึ้นมากดหาริน เพราะเมื่อเช้าตอนที่ผมโทรหาริน ไอ้บอยดันรับสายแต่เสียงที่ลอดเข้ามากลับเป็นเสียงร้องครางของริน ซึ่งทำเอาผมถึงกับเป็นลมล้มพับไปด้วยความตกใจ พอฟื้นขึ้นมาอีกที ผมโทรเข้าหาไอ้บอยเลยครับ แต่มันกลับปิดเครื่องหนี ซึ่งทำให้ผมติดต่อมันไม่ได้อีกเลย แต่ทว่าหลังจากนั้นผมกลับรู้สึกหนาวๆร้อนๆเหมือนจะเป็นไข้ (อาจจะเป็นเพราะรินก็ได้ครับ) พี่ซีก็เลยให้ผมทานยาแล้วนอนพักผ่อนเดี๋ยวนั้น พอผมกดโทรหาน้องรินได้ซักพัก ปลายสายก็รับเลยครับ ริน นี่เรนเองนะ รินเป็นยังไงบ้าง
ผมถามด้วยความเป็นห่วง จะตามหารินก็ไม่รู้จะตามหาได้ที่ไหน เพราะไม่รู้จักบ้านไอ้บอยครับ แต่เสียงปลายสายที่ตอบกลับมา ทำเอาผมถึงกับอึ้ง
ก็เป็นอย่างที่มึงได้ยินเมื่อเช้ายังไงล่ะครับคุณเพื่อนที่รัก
บะ...บอยผมเรียกชื่อมันอย่างกระท่อนกระแท่น ซึ่งทำเอาพี่ซีที่กำลังขับรถต้องตบไฟเลี้ยวจอดรถข้างทางเพื่อฟังที่ผมพูด ปล่อยรินเถอะ...รินไม่ได้ผิดอะไร ปล่อยเขาไป อย่าทำริน...
บอกตอนนี้ก็สายไปแล้วครับเรน เพราะรินได้เป็นเมียกูไปแล้ว
!!!!!!!!!
จะมาโทษกูไม่ได้ด้วย เพราะมึงอยากให้เรื่องเป็นแบบนี้เอง ปลายสายพูดอย่างขำๆ แต่ผมไม่รู้สึกขำด้วยกับมัน อ้อ ต้องขอบคุณมึงด้วยที่ทำให้รินมีความต้องการทางเพศ หึ ความรู้สึกเชื่อมโยงระหว่างฝาแฝดก็ไม่เลวนะ กูชักอยากจะเห็นเหลือเกินว่าร่องรอยคิสมาร์คที่กูทำไว้กับริน มันจะโผล่บนร่างกายของมึงด้วยหรือเปล่า อ้อ จะว่าไปรินก็มีร่องรอยคิสมาร์คโผล่ขึ้นมาตรงจุดที่กูไม่ได้ทำด้วยนี่นะ หึๆ
!!!!!!!!!

ผมเป็นห่วงแทบบ้าเมื่อเห็นร่างบางนั่งหน้าซีดในมือที่เคยถือโทรศัพท์มือถือก็พลันร่วงหล่นลงข้างตัว ไม่ว่าผมจะเรียกยังไงอีกฝ่ายก็ยังไม่ยอมได้สติซักที จึงตัดสินใจทำอะไรบางอย่างเพื่อเรียกสติให้กลับคืนมา
เพี๊ยะ!
ผมตบหน้าคนรักอย่างแรง ทำเอาร่างบางที่ไม่ได้สติถึงกับหน้าหัน(นิดหน่อยครับ)ยอมกระพริบตาสองสามทีก่อนจะหันมามองผมด้วยความงุนงง
พี่ซี...พี่ตบผมเหรอครับ?
ใช่ครับที่รัก ผมเรียกคุณแล้วแต่คุณไม่ตอบ ผมก็เลยต้องตบหน้าคุณแทน ผมพูดพลางยกมือขึ้นลูบไล้แก้มขาวบางที่บัดนี้แดงระเรื่อเป็นรูปมือของผมทั้งห้านิ้วอย่างรู้สึกผิด เจ็บหรือเปล่าครับที่รัก ผมขอโทษนะ
ไม่เป็นไรครับ...ผมไม่เจ็บ ไม่เจ็บเลยซักนิดเดียว ร่างบางพูดพลางส่งยิ้มให้ ทำเอาผมได้เห็นริมฝีปากของอมชมพู จนผมอดใจไม่ไหวยื่นหน้าเข้าไปใกล้ ในขณะที่มือยังคงจับแก้มอีกฝ่ายเอาไว้ก่อนจะเอียงหน้าประกบจูบ ทั้งบดทั้งเบียดทั้งดูดริมฝีปากบนและล่างเพื่อหยอกล้อ แล้วจึงค่อยดุนลิ้นแทรกเข้าไปในโพรงปากก่อนจะกระหวัดกระเหวี่ยงดูดลิ้นบางที่พยายามหดหนีอย่างมัวมัน
“อือ อื้อ อื้อ!” ดูเหมือนผมจะใช้เวลาจูบนานไปหน่อย เลยทำให้อีกฝ่ายเริ่มขาดอากาศหายใจ ผมได้ยินดังนั้นจึงยอมถอนลิ้นออกมา “แฮ่กแฮ่กแฮ่ก”
ร่างบางหอบหายใจตัวโยนใบหน้าแดงก่ำราวกับมะเขือเทศ (น่ารักจังเลยนะครับเนี่ยเมียผม)
“บอกผมได้ไหมครับที่รักว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่” ผมถามในขณะที่ยังใช้มือลูบไล้ริมฝีปากที่เห่อแดงเพราะแรงจูบ “ไม่ต้องกลัวว่าผมจะโกรธหรือรังเกียจคุณหรอกนะครับที่รัก ทุกเรื่องที่เป็นของคุณ ผมรับได้หมด ขอเพียงคุณไม่ปิดบังผมก็พอ”
“ครับพี่ซี” ร่างบางยิ้ม ก่อนจะเริ่มต้นเล่าเรื่องให้ผมฟังอย่างช้าๆ

หลังจากที่คุยกับเรนแล้วผมก็กดวางสายทิ้ง ก่อนจะหันไปมองร่างบางที่ยังนอนหลับตาพริ้มบนเตียงนอนอย่างหมดแรง เมื่อวานว่าจัดไปหลายยกแล้ว พอมาเจออีกสองยกตอนเช้าเล่นทำเอารินถึงกับสลบไปรอบสอง (แถมไข้ขึ้นอีกด้วย) ใจจริงผมไม่อยากทำแบบนี้กับรินหรอกครับ แต่พอเห็นเรือนร่างบอบบางที่เต็มไปด้วยรอยจูบอันเก่าของผมแล้ว ทำเอาอารมณ์ที่มอดไหม้ไปแล้วกลับลุกโชนอีกครั้ง
Trr…
เสียงมือถือดังขึ้นอีกครั้ง ทำเอาผมที่กำลังใช้มือเกลี่ยเส้นผมที่ปรกตาร่างบางออกต้องหยุดชะงักลง ก่อนจะคว้ามือถือขึ้นมาดู แลเห็นหน้าจอแสดงรายชื่อที่โทรเข้ามาจนผมต้องเม้มปากกดรับสายอย่างโมโห
“พึ่งนึกออกหรือไงครับว่ายังมีลูกชายอย่างผมอยู่ที่บ้านนะ”
“ไอ้บอย!
“เรียกผมทำไมครับคุณทวีศักดิ์ กลัวลืมชื่อผมรึยังไง” ผมพูดอย่างยียวนกวนประสาท “หรือว่าทำงานเสพสุขกับแม่เลี้ยงคนใหม่จนลืมลูกชายคนนี้ไปแล้วครับ”
“อย่ามาย้อนพ่อนะบอย!
“ผมไม่ได้ย้อนครับ ผมก็แค่พูดความจริง” ผมกดพูดเสียงต่ำ “ทิ้งลูกชายแล้วไปแต่งงานใหม่ ไม่ยอมกลับบ้านมาสิบปี เอาแต่ส่งเงินมาเป็นค่าเลี้ยงดู หึ ผมพูดถูกต้องทุกอย่างไหมครับ”
“ไอ้บอย!!
“คร้าบ คร้าบ ถ้าคิดจะส่งเงินมาอีก ก็เชิญส่งมาได้ตามสบายเลย เพราะผมนี่แหละจะผลาญเงินคุณจนหมดตัวเลย ถ้าไม่มีอะไรแล้ว งั้นพอแค่นี้ก่อนนะครับคุณทวีศักดิ์ พอดีผมมีธุระ เมียผมนอนป่วยอยู่นะ”
“ว่ายังไงนะไอ้บอยเมียอะไร?!...
ผมไม่อยู่ฟังจนจบหรอกครับ รีบกดวางสายทิ้งก่อนจะโยนมือถือลงเตียงอย่างไม่ไยดี แล้วเดินลงจากเตียงก่อนจะเดินไปคว้ากรอบรูปภาพขึ้นมาดู แลเห็นสามร่างยืนกอดอกยิ้มอย่างเป็นสุข ซึ่งในภาพนั้นมีผม แม่ แล้วก็พ่อ ตอนนั้นผมพึ่งจะสิบขวบปีเศษยังอยู่ดีมีสุข แต่พอผมอายุย่างเข้าสิบห้า คุณแม่ก็ได้จากไปด้วยอุบัติเหตุ ทำเอาคุณพ่อเสียใจมากจนทำงานหามรุ่งหามค่ำ แต่แล้ววันหนึ่งคุณพ่อก็พาผู้หญิงเข้ามาในบ้าน
“นี่แม่คนใหม่ของลูกนะบอย สวัสดีคุณราตรีซะสิ”
“ไม่!” ผมตวาดเสียงกลับไปอย่างโมโห ผมไม่ยอมรับผู้หญิงคนนี้เข้าบ้านหรอก เพราะเคยได้ยินชื่อเสียงมาว่าเป็นผู้หญิงที่ชอบเกาะผู้ชายคนอื่นกิน “ออกไปซะ บ้านนี้ไม่ต้อนรับผู้หญิงหากินอย่างเธอ ออกไปไป๊!
“มันจะมากไปแล้วนะไอ้บอย พ่อยืนอยู่ทั้งคน ยกมือกราบพูดขอโทษคุณราตรีดีๆซะเดี๋ยวนี้”
“ไม่” ผมตอบปฏิเสธเสียงแข็ง พลางหันหน้าไปมองพ่ออย่างเอาเรื่อง “ทำไมผมต้องพูดขอโทษกับผู้หญิงที่ไม่มีหัวนอนปลายเท้าด้วย คิดจะเอามาแทนคุณแม่ที่ตายไปรึ ฝันไปเถอะ!
นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา คุณพ่อก็พาแม่เลี้ยงบินไปอยู่ต่างประเทศ ทิ้งให้ผมเฝ้าอยู่แต่บ้านเพียงลำพัง แต่ก็ไม่ลืมที่จะส่งเงินมาให้ผมอยู่ทุกเดือน (ผมเอาเงินพวกนี้ไปใช้อย่างสุรุ่ยสุร่ายครับ พอหมดก็ขอใหม่อีกเรื่อยๆ) ซึ่งมันทดแทนความสุขผมไม่ได้ บอกตามตรงผมเหงาครับ เหงาที่จะต้องทนอยู่อย่างเดียวดาย ฉะนั้นผมจึงเอาใจใส่ในการคบเพื่อนเป็นพิเศษ แต่พอเข้ามหาวิทยาลัยแล้ว ต่างคนต่างย้ายไปเรียนตามที่ตัวเองถนัด ทำให้ผมเหลือตัวคนเดียวอีกครั้ง แต่พอได้มาเจอกับริน (ที่ผมคิดว่าเป็นเรนในตอนแรก) ทำเอาผมถูกชะตาเป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นหน้าตา นิสัย ท่าทาง หรือต่อให้อีกฝ่ายเป็นเพศเดียวกันกับผมก็ตาม ผมก็ไม่แคร์ครับ ดังนั้นผมตั้งใจว่าจะลองสารภาพรักดูหลังจากผ่านเฟรชชี่ไนท์ไป แต่ทว่าดันมาเจอเหตุการณ์ไม่คาดฝันเกิดขึ้นเสียก่อน ทำเอาผมไม่ได้ทำอย่างที่ตั้งใจเอาไว้ แถมยังต้องเจ็บใจที่โดนสองคนนี้มาหักหลังเอาเสียได้ (เสียความรู้สึกที่โดนหลอกครับ) พอคิดได้ดังนั้นผมก็เดินกลับไปนั่งบนเตียงข้างรินที่ยังคงนอนหลับอยู่ ก่อนจะใช้มือลูบไล้ใบหน้าขาวเนียนชมพูอย่างทะนุถนอม
นี่กูจะต้องทำยังไงกับพวกมึงสองคนดีนะรินเรน

นี่กูจะต้องทำยังไงดีกับพวกมึงสองคนดีนะรินเรน เสียงทุ้มพูดสั่นเครือราวกับจะร้องไห้ออกมาได้ทุกเมื่อ ทำเอาผมที่แกล้งหลับรู้สึกแปลกๆในใจชอบกล (ผมตื่นมาตั้งแต่ได้ยินเสียงมันคุยกับพ่อทางโทรศัพท์มือถือแล้วครับ) แล้วมันก็จับมือขวาผมยกขึ้นมากุม ก่อนจะรู้สึกเหมือนมีอะไรนิ่มๆมาสัมผัสที่หลังมือของผม (ทำเอาผมรีบแอบลืมตาขึ้นดูเลยครับ เห็นไอ้บอยแอบจูบหลังมือผมด้วย) แต่แล้วมันก็ลุกขึ้นเดินหายเข้าห้องน้ำไป ทำเอาผมรีบลุกขึ้นมาจากที่นอน ก่อนจะได้ยินเสียงสะอื้นไห้ดังลอดออกมาจากห้องน้ำ ซึ่งผิดกับภาพลักษณ์ที่ผมเห็นมาก่อนหน้านี้ลิบลับ เมื่อเอามารวมกับเรื่องที่ได้ยินตอนที่มันคุยโทรศัพท์มือถือกับพ่อของมันด้วยแล้ว ทำเอาผมอดสงสารมันแทนเสียไม่ได้ เพราะมันถูกพ่อทอดทิ้งให้อยู่กับบ้าน แล้วตัวเองก็ไปอยู่กับเมียใหม่ที่ต่างประเทศ มีเพียงแค่ส่งเงินมาคอยประทังชีวิตบอยตามหน้าที่ของคนเป็นพ่อเท่านั้น แต่ถึงยังไงผมก็ยังไม่หายโกรธมันอยู่ดีครับ (โดนมันฟีทเจอริ่งตั้งหลายครั้งใครจะไปให้อภัยได้ง่ายๆกันครับจริงไหม) ดูเหมือนผมนั่งคิดนานไปหน่อย จนไอ้บอยร้องไห้เสร็จก็ได้เดินออกมาจากห้องน้ำเห็นผมนั่งบนเตียงแล้วครับ (ตาของมันงี้แดงกล่ำเชียว) ตื่นแล้วรึ ลุกเดินอาบน้ำไหวไหมล่ะ ให้กูช่วยหรือเปล่า
มันถามผมด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
ไม่ต้อง กูทำของกูเองได้ผมตอบก่อนจะขยับตัวเดินลงจากเตียง แต่พอลุกขึ้นยืน ขาเกิดสั่นเป็นเจ้าเข้า พอผมก้าวเท้าเดินเท่านั้นแหละ ขาของผมเกิดอ่อนเปลี้ยขึ้นมา อ๊ะ
ผมเกือบจะทรุดลงไปนอนกับพื้นแล้ว แต่ก็ได้มือหนาเข้ามาช่วยพยุงเอาไว้
ไม่เป็นอะไรใช่ไหมมันถามผมในขณะที่กอดผมเอาไว้อยู่ น้ำเสียงกับกลิ่นตัวของมันทำเอาผมรู้สึกใจเต้นสั่นระรัวอย่างบอกไม่ถูก
อะ…อืม ไม่เป็นไรผมตอบด้วยน้ำเสียงกระท่อนกระแท่น พอเห็นมันก้มลงมองมาที่ผม ทำเอาผมรู้สึกร้อนไปทั่วใบหน้าจนอยากหลบหน้าหนีเสียเดี๋ยวนั้น ขะ…ขอบใจนะที่ช่วย
แต่แล้วมันก็ค่อยๆก้มหน้าลงมาหาผมอย่างเชื่องช้า โดยที่ผมได้แต่มองตามันอยู่อย่างนั้น จนกระทั่งมารู้สึกตัวอีกทีเมื่อรู้สึกถึงลมหายใจของบอยที่เข้ามาชิดใกล้พร้อมกับริมฝีปากของมันที่เข้ามาประกบริมฝีปากของผมอย่างแนบแน่น ก่อนที่มันจะบดเบียดริมฝีปากดูดเม้มทั้งบนทั้งล่างแล้วจึงค่อยสอดลิ้นเข้ามาในโพรงปากของผมได้อย่างง่ายดาย ไอ้ผมก็สะดุ้งตกใจสิครับ เพราะไม่คิดว่ามันจะสอดลิ้นเข้ามาแบบนี้ จึงพยายามดันลิ้นมันออก แต่กลับกลายเป็นว่าผมต้องโดนมันดูดลิ้นแทน
อือ อืม อึก อือออ อือออ อึก อือออผมร้องครางในลำคอ ในหัวหมุนติ้วจนผมต้องรีบคว้าคอมันกอดอย่างแนบแน่น (กลัวตกครับ) มันจูบผมอยู่นานมากครับ นานมากจนผมเริ่มขาดอากาศหายใจ อื้อ! อื้อ! อื้อ!”
ผมร้องเสียงอู้อี้พร้อมกับทุบหลังมันไปสองสามทีเพื่อขออากาศหายใจ ซึ่งทำให้ไอ้บอยรู้สึกตัวก่อนจะยอมผละริมฝีปากออกมา ส่วนผมนั้นถึงกับรีบสูดอากาศหายใจเข้าปอดอย่างรวดเร็ว (เหนื่อยครับเหนื่อย)
ให้กูช่วยอุ้มไปเข้าห้องน้ำให้เอาไหมมันถามผมอีกครั้งครับ ซึ่งผมเองก็ไม่รู้เป็นบ้าอะไร ยอมพยักหน้าให้มันทำแต่โดยดี แล้วมันก็ช้อนตัวผมอุ้มขึ้นในท่าอุ้มเจ้าหญิงก่อนจะเดินเข้าไปในห้องน้ำ พอเดินเข้ามาข้างใน มันก็ปล่อยให้ผมยืนครับ ถ้าไม่ไหวยังไงก็เรียกได้นะ กูจะรออยู่ข้างนอก
อะ…อืม
แล้วมันก็เดินออกไปจากห้องน้ำโดยไม่ลืมที่จะปิดประตูให้ผมด้วย หลังจากผมอาบน้ำเสร็จก็กินเวลาไปยี่สิบนาที แต่ก็นึกขึ้นได้ว่าลืมผ้าเช็ดตัว จึงแง้มหน้าออกไปเพื่อที่จะบอกไอ้บอยว่าขอผ้าเช็ดตัว แต่ครั้นพอแง้มหน้าออกไปแล้วกลับต้องสะดุ้งตกใจ เพราะดันเห็นร่างสูงยืนพิงกำแพงหน้าห้องน้ำ
“แหะๆ” นี่ผมยังมีหน้าหัวเราะกับมันอีกได้นะ ส่วนบอยก็ไม่ได้พูดอะไรกับผมได้แต่ยิ้มตอบกลับมาพร้อมกับยื่นผ้าเช็ดตัวให้ ซึ่งผมรับผ้าเช็ดตัวจากมันก่อนจะเข้าห้องน้ำนุ่งรัดให้เรียบร้อยแล้วจึงค่อยเดินออกมาอีกที (แต่เดินอย่างช้าครับ เพราะเจ็บช่วงล่างมากๆ) “เอ่อ เสื้อผ้า...”
“ชุดของนายวางอยู่บนเตียงแล้ว พอดีกูไปซักรีดให้ตอนมึงหลับนะ”
โหพ่อคุณรุนช่อง ใจดีจังนะ ทำให้เองกับมือด้วยเว้ย
“เดี๋ยวใส่เสร็จแล้วก็ออกมาข้างนอกนะ กูได้เตรียมอาหารไว้ให้พร้อมแล้ว อย่าช้าล่ะ” มันบอกก่อนจะเดินออกจากห้องไป ส่วนผมรึ อ้าปากค้างอย่างไม่เชื่อหู เพราะไม่คิดว่านอกจากจะซักรีดเสื้อผ้าให้ผมแล้ว มันยังทำอาหารให้ผมได้ทานอีกด้วย “เอ หรือว่ามันจะทำไปเพื่อขอโทษเรากันแน่ แต่ก็ช่างเถอะ รีบแต่งตัวดีกว่า”

แล้วผมก็รีบแต่งตัวก่อนจะเดินออกไปหาไอ้บอยที่รออยู่ข้างนอกห้อง  

วันศุกร์ที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

ตอนที่ 25 เสียเปรียบ

ตอนที่ 25 เสียเปรียบ

บอยใครโทรมา….โอ้ย กูเจ็บ อื้อ เบาๆหน่อย เบา…เบา!! อ๊ะ อ๊า อือ อืออ อื้อออ!!”
ร่างบางถามก่อนจะร้องครางเสียงดังลั่นเมื่อถูกผมบรรเลงเพลงรักอย่างรุนแรง ผมยิ้มมุมปากอย่างพอใจก่อนจะกดตัดสายหนีเพื่อนที่เคยสนิทด้วยทิ้ง แล้วโยนลงพื้นตัวรถอย่างไม่ไยดี ใช่แล้วครับ ผมทิ้งมือถือตัวเองบนพื้นรถซีวิกสีเขียวอ่อนสี่ประตู ซึ่งเป็นรถยนต์ของผมที่จอดนิ่งสนิทอยู่หลังบ้านของผมเอง เป็นบ้านที่ไม่มีใครอยู่นอกจากผมเพียงคนเดียว (จะเรียกว่าบ้านร้างก็ว่าได้)
พี่มึงโทรมานะผมพูดตอบพลางผ่อนแรงลง มือซ้ายผสานกับมือร่างบาง ก่อนจะใช้มือขวาเสยผมรินขึ้น แลเห็นใบหน้าหวานที่ตอนนี้แดงระเรื่อราวกับมะเขือเทศ แถมยังมีเหงื่อผุดขึ้นมาประปรายเพราะได้ออกกำลังกายเกือบตลอดทั้งคืน กับคราบน้ำตาที่ไหลอาบแก้มที่เจ้าตัวได้ร้องออกมาอย่างไม่รู้ตัว มาจนถึงตอนนี้แล้วผมยังไม่รู้ตัวอยู่ดีว่าผมชอบใครกันแน่ เพราะตั้งแต่รู้ความจริงจากปากเรน ทำเอาผมถึงกับพูดไม่ออก รู้สึกสับสนมากจนไม่กล้าเข้าใกล้ จึงได้ตีตัวออกห่างนับตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ถ้าให้ถามผมว่าโกรธที่อีกฝ่ายปิดบังความจริงไหม ผมขอตอบได้เลยว่าโกรธมาก โกรธมากจนอยากจะขยี้ทั้งพี่ทั้งน้องให้แหลกคามือโทษฐานที่หลอกลวงความรู้สึกของคนอื่น เนื่องจากเมื่อคืนเบาะหน้ามันคับแคบเกินไป ทำให้ผมอุ้มร่างบางออกมาทำกันด้านหลังเบาะคนขับแทนที่จะทำกันเบาะหน้าเหมือนรอบแรกอย่างทุลักทุเลแทน แต่ถึงกระนั้นมันก็ยังคับแคบเกินไปสำหรับผู้ชายสองคนที่มาทำกิจกรรมร่วมรักกันอยู่ดี แล้วร่างบางก็ได้สะบัดมือผมออก ก่อนจะควานหามือถืออย่างทุลักทุเล (ฟีทเจอริ่งกับผมยังกล้าคุยกับพี่ได้อีกนะ) ไม่ต้องหามือถือหรอกครับมึง เพราะกูวางสายพี่มึงทิ้งไปแล้ว หึๆ
อะ…อะ…ไอ้บอย…มะ…มึง อ๊ะ อ๊ะ อื้อ…แรงไปแล้ว เบาหน่อยกูจุก ร่างบางพูดร้องครางไปส่ายหน้าไปพลาง ทำเอาผมถึงกับยิ้มกริ่มอย่างพอใจที่ได้แกล้งร่างบาง
อยากให้กูเบาก็ร้องครางเพราะๆให้กูฟังสิครับเจ้าหญิงน้อยของผม
อะไรนะ…อ๊ะ อ๊ะ อึก ฮ้า ฮ้า อือ อื้อ อื้อออ!”
โชคดีที่บ้านของผมอยู่สุดท้ายซอย ก็เลยทำให้ไม่มีใครได้ยิน รู้ไหมว่าทำไมผมถึงเจอรินได้ยังไง แล้วทำไมถึงมาฟีทเจอริ่งบนรถยนต์นี้ได้ นั่นก็เป็นเพราะเมื่อวานหลังจบกิจกรรมเข้าห้องเชียร์ ผมกำลังขับรถกลับบ้านก็ไปดันเห็นร่างบางคุ้นตายืนปาดเหงื่อก้มมองมือถืออยู่ริมถนนแถวสนามกีฬาครับ ทีแรกผมตั้งใจขับเลยผ่านไป แต่ดันเหลือบไปเห็นผู้ชายแปลกหน้าสองคนดูมีพิรุธกำลังเดินเข้ามาจากด้านหลังร่างบางอย่างเงียบๆ (เห็นในมือมีมีดด้วยครับ อันตรายมาก) ดังนั้นผมจึงรีบเหยียบเบรกจอดรถกดบีบแตรทันที แน่นอนว่าเสียงเบรกรถกับเสียงแตรรถของผมทำเอาสองร่างที่กำลังคิดมิดีมิร้ายร่างบางถึงกับสะดุ้งตกใจ รวมถึงตัวเล็กที่ยืนก้มมองมือถือไม่รู้เรื่องนั้นก็พลอยตกใจมองมาที่รถยนต์ของผมด้วยครับ พอพวกมันรู้ว่ามีคนเห็นเหตุการณ์ ก็เลยพากันวิ่งหนีหายไปอย่างรวดเร็ว
“ขึ้นรถ!” ผมเปิดกระจกตะโกนบอกเสียงดังลั่น ทำเอาร่างบางสะดุ้งตกใจเดินหนีไปอีกทาง แต่ผมไม่อยากให้อีกฝ่ายต้องอยู่ในที่มืดเปลี่ยวอันตรายแบบนี้หรอกครับ ก็เลยเดินลงจากรถไปฉุดกระชากร่างบางให้ขึ้นมานั่งที่รถของผม แน่นอนว่าอีกฝ่ายไม่ยอมครับ ทั้งตบทั้งตีจนผมต้องอุ้มพาดบ่าตัวเองแล้วพาเดินกลับไปที่รถ ก่อนจะจับยัดร่างบางให้เข้าไปนั่งฝั่งข้างคนขับแล้วเดินอ้อมกลับมานั่งฝั่งคนขับ จากนั้นจึงขับรถพาร่างบางออกไปจากมหาวิทยาลัยทันที แต่เมื่อขับออกไปได้ซักระยะ ผมจึงเป็นฝ่ายเปิดปากถามขึ้นมาก่อน “ไม่คิดจะพูดขอบคุณกูซักคำบ้างเลยรึไง”
ร่างบางหันขวับตีหน้ายักษ์ใส่ผม
“แล้วทำไมกูต้องขอบคุณกับคนหื่นกามที่มาจูบกูอย่างมึงด้วยล่ะ!
ไม่ต้องบอกก็รู้แล้วครับ ว่าคนที่ผมพูดอยู่ด้วยนี้คือใคร
“ริน!
“ทำไม? กะอีแค่กูไม่พูดขอบคุณ มึงจะตีกูให้ตายเลยรึ ก็เอาเลยสิ เชิญ เห็นชอบบังคับคนอื่นดีนักนี่!
“อย่าท้ากูนะริน!” ผมเหยียบเบรกเลยครับ ทำเอาร่างบางที่ยังไม่ทันตั้งตัวถึงกับหน้าทิ่ม (แต่ยังดีที่อีกฝ่ายได้คาดเซฟตี้เบลล์ไว้แล้ว ก็เลยไม่เป็นอะไรมาก) ผมหันไปกระชากคอเสื้อร่างบางมาใกล้ ก่อนจะขยี้จูบริมฝีปากบางสอดลิ้นกลับไปอย่างรุนแรง แน่นอนว่ารินพอโดนผมจูบแล้วถึงกับดิ้นพล่านไปมา แต่ก็ดิ้นไม่หลุดหรอกครับ เพราะผมได้ใช้มืออีกข้างรั้งต้นคอเอาไว้ ซึ่งผมจูบไปได้ซักพัก พอเห็นว่าร่างบางเริ่มหมดแรงแล้ว ก็เลยถอนริมฝีปากออกมา ก่อนจะแลเห็นใบหน้าขาวบางอมชมพูที่มาบัดนี้แดงระเรื่อราวกับจับไข้ “เป็นยังไงล่ะ รสจูบของคนหื่นกามอย่างกู คงจะรู้สึกดีจนตัวอ่อนระทวยเลยสิท่า”
“มะ...มึง...”
“อ๊ะ อย่าได้เถียงอีกนะ ไม่งั้นกูจูบมึงอีกแน่ริน” ผมพูดขู่ไว้ก่อนครับ ทำเอาร่างบางทำท่ากระฟัดกระเฟียดหันหน้าหนีไปอีกทางอย่างไม่พอใจ เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเงียบไปแล้ว ผมก็หันมาขับรถต่อครับ (ตั้งใจว่าจะขับไปส่งถึงบ้านด้วย) แต่ขับไปได้ซักระยะ ร่างบางกลับส่งเสียงแปลกๆออกมา
“อือ ร้อน กูร้อน ไอ้บอย แฮ่กๆ” ผมได้ยินดังนั้นจึงหยุดรถก่อนจะหันไปมอง ซึ่งทำเอาผมถึงกับหรี่ตาลงเมื่อเห็นร่างบางกอดตัวเองบิดไปบิดมา ใบหน้าแดงซ่านยิ่งกว่ามะเขือเทศ ริมฝีปากเผยอหอบหายใจราวกับไปวิ่งสี่คูณหนึ่งร้อยเมตรมา “ฮึก ร้อน อืออออ”
“ร้อน?” ผมมุ่นคิ้วด้วยความแปลกใจ เพราะตอนนี้แอร์บนรถของผมเย็นจะตายชัก
“ฮือออ...แฮ่กๆ” ด้วยความสงสัยผมจึงใช้หลังมือเพื่อแตะหน้าผากวัดไข้ดู ซึ่งผลปรากฏว่าพอแตะไปได้หน่อยเดียว ร่างบางถึงกับสะดุ้งเฮือกปัดมือผมออกอย่างแรง “ไม่ อย่าจับกู มึง...อื้อ”
พอผมลองแตะอีกครั้ง ร่างบางก็ปัดมือผมออกเหมือนคราวแรกไม่มีผิด
อย่าบอกนะว่า...
รินโดนยา?
พอคิดได้ดังนั้นผมก็หันไปขับรถต่อ โดยมุ่งหน้าไปยังบ้านของตัวเองเพราะมันอยู่ใกล้ที่สุด แต่พอผมขับรถไปจอดหลังบ้านตัวเองแล้ว ก็ลงจากรถก่อนจะเดินอ้อมไปเปิดประตูอีกฝั่งด้านข้างคนขับ
“ลงไหวไหม”
ผมถามโง่ๆ ซึ่งเมื่ออีกฝ่ายไม่ตอบผมจึงคิดจะช้อนร่างบางเพื่ออุ้มขึ้น แต่กลับโดนร่างบางดึงคอเสื้อฉุดให้ลงไปนอนทับตัวเอง ก่อนจะระดมจูบผมอย่างบ้าคลั่ง ส่วนตัวผมนั้นเมื่อโดนอีกฝ่ายจูบ พอได้สัมผัสกับความหวานของลิ้นร่างบางแล้วถึงกับสอดลิ้นจูบโต้ตอบกลับไปอย่างมัวมัน ก่อนที่ผมกับรินจะเริ่มต้นบรรเพลงรักด้วยกันบนรถซีวิกสีเขียวอ่อนสี่ประตูท่ามกลางบ้านของผมที่เงียบสงัด
มาจนถึงตอนนี้ผมยังสงสัยอยู่เลยว่าทำไมรินถึงเกิดอารมณ์ทางเพศขึ้นมาได้ทั้งๆที่แค่นอนอยู่เฉยๆ แต่เมื่อทุกอย่างจบลง ร่างบางถึงกับหมดสติไปด้วยความอ่อนเพลีย ซึ่งแน่นอนว่าผมจัดการใส่เสื้อผ้าให้กับรินก่อนจะหันมาสวมกางเกงให้กับตัวเอง แล้วจึงค่อยช้อนร่างบางอุ้มขึ้นจากรถเดินเข้าบ้านตัวเองไป
รอให้รินตื่นขึ้นมาก่อนแล้วถึงตอนนั้นค่อยถามอีกที…

ผมมารู้สึกตัวอีกทีก็ได้ยินเสียงดนตรีเปียโนดังแว่วลอดเข้ามา ครั้นพอลืมตาขึ้นมองก็แลเห็นห้องสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่โทนสีน้ำตาลขาวไม่คุ้นตา
นี่ผมอยู่ที่ไหนเนี่ย?
ยังไม่ทันจะได้สำรวจ ประตูห้องก็ถูกเปิด ทำเอาผมหันไปมองก่อนจะเห็นร่างสูงคุ้นตาเดินเข้ามา ซึ่งไม่ใช่ใครอื่นเลยนอกเสียจากไอ้บอย ทันทีที่เห็นมัน ผมก็นึกขึ้นได้ทันทีว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเองเมื่อคืนนี้
ใช่แล้ว...
ผมกับบอยมีอะไรด้วยกัน...
“ไอ้บอยมึงทำ...โอ๊ย เจ็บๆ!” ผมยังไม่ทันจะได้ลุกขึ้นนั่ง ก็ต้องล้มตัวลงนอนอีกครั้งด้วยความเจ็บปวดเพราะรู้สึกเจ็บเสียดที่ช่วงล่างมากอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน แถมเสียงก็แหบพร่าจนผมจำเสียงของตัวเองไม่ได้เลยด้วยซ้ำ ส่วนไอ้บอยก็ยิ้มมุมปากเดินเข้ามาพร้อมถาดชามข้าวในมือ “ยิ้มพ่องมึงดิ เพราะมึงคนเดียวไอ้บอย มึงทำกูเจ็บ”
“ขอโทษครับเจ้าหญิงน้อย ได้ข่าวว่ามึงเป็นคนเริ่มต้นจูบกูก่อนนะ”
มันพูดสวนกลับทันทีครับ ทำเอาผมถึงกับจุก มันพูดถูกทุกอย่าง เพราะเมื่อคืนผมเป็นฝ่ายลงมือจูบกับมันก่อน ถ้าถามว่าทำไมอยู่ๆผมถึงเกิดมีอารมณ์ทางเพศได้นั้น ต้องโทษความสัมพันธ์พิสดารระหว่างผมกับเรน เพราะถ้าผมเจ็บเรนก็เจ็บ ถ้าผมป่วยเรนก็ต้องป่วย ฉะนั้นเมื่อคืนผมเกิดความต้องการทางเพศได้ก็แสดงว่าเรนต้องไปโดนอะไรมาอย่างแน่นอน
ต้องโทรหาเรนด่วน!
“มือถือกูล่ะบอย มือถือกูอยู่ที่ไหน!” ผมฝืนลุกขึ้นนั่งร้องเรียกหามือถือ ซึ่งมันทำหน้าประหลาดใจแต่ก็ไม่ได้ถามอะไร ก่อนจะวางชามข้าวลงบนหัวเตียงแล้วลุกขึ้นเดินไปหยิบมือถือจากบนโต๊ะหนังสือ ก่อนจะเดินกลับมานั่งแล้วยื่นมือถือส่งให้ผม แต่ยังไม่ทันที่ผมจะได้จับมือถือของตัวเอง ร่างสูงกลับชักมือหนี “ไอ้บอย ส่งมือถือมาให้กูเดี๋ยวนี้นะ”
มันยิ้มกริ่มครับ ทำท่าโชว์มือถือผมแกว่งไปมาแกว่งมาเล่น
“มึงต้องบอกกูก่อนครับว่าจะโทรไปหาใคร”
“แล้วทำไมกูต้องบอกมึงด้วยห๊ะไอ้สัด เอามือถือกูคืน...อุ๊บ” พูดยังไม่ทันขาดคำ ร่างสูงเข้ามาประกบปากผมทันที ก่อนจะบดขยี้ริมฝีปากผมเสียจนหัวหมุน ไอ้ผมก็ดิ้นสุดฤทธิ์ครับ พยายามหันหน้าหนีแต่ก็โดนจับกรามเอาไว้เลยหันหน้าหนีไปไหนไม่ได้ แล้วมันก็บีบกรามผมแรงขึ้น ทำเอาผมเจ็บกรามจนต้องเผยอปากออก ก่อนที่มันจะสอดลิ้นเข้ามากระหวัดกระเหวี่ยงชอนไชโพรงปากผมเสียนานจนผมต้องใช้มือทุบอกมันสองสามที เพื่อประท้วงขออากาศหายใจจากมัน ซึ่งบอยก็ยอมผละริมฝีปากออกแต่โดยดี ส่วนผมนั้นถึงกับหอบหายใจสายตัวแทบขาดเลยครับ “แฮ่ก...แฮ่ก...มึง...แฮ่ก...จูบกู...ทำไม”
“ก็มึงพูดคำหยาบใส่กูนี่ครับเมีย” มันพูดตอบพลางยักคิ้วหลิ่วตาใส่ผม ซึ่งทำเอาผมถึงกับโมโห (หน็อยแน่ ตะกี้ยังเรียกผมว่าเจ้าหญิงน้อยอยู่เลย แต่นี่กลับเรียกผมว่าเมีย)
“แล้วกูกับมึงไม่หยาบรึไงห๊ะ”
“อันนั้นกูยกเว้นให้มึง” มันเถียงหน้าตายครับ “แต่คำอื่นกูไม่ให้ ฉะนั้นอย่าพูดให้กูได้ยินอีก ไม่งั้นมึงโดนกูจูบเหมือนเมื่อกี้แน่ครับเมีย”
คำก็เมีย สองคำก็เมีย ช่างยัดเยียดให้ผมซะจริงเลยให้ตายสิ!
แต่ไอ้บอยบังคับผมให้ทานข้าวกับยาก่อนครับแล้วถึงจะยอมให้ผมโทรหาเรนได้ (มันบอกว่าถ้าผมไม่ทานยาแก้อักเสบ ตรงช่วงล่างจะไม่หายเจ็บครับ) เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยแล้วผมก็โทรไปหาเรนเลยทันที (ที่จริงแบตหมดไปแล้ว แต่ไอ้บอยใจดีให้ผมยืมที่ชาร์ตมือถือด้วย)
แกรก!
เรนเป็น…”
ตอนนี้เรนหลับอยู่ครับน้องริน ไว้รอให้เรนตื่นแล้วเดี๋ยวผมจะให้เรนโทรกลับไปหานะครับ พออีกฝ่ายพูดจบก็วางสายไปทันที ส่วนผมรึก็ได้แต่อ้าปากค้างด้วยความตกใจ เพราะเสียงที่ผมได้ยินเมื่อครู่นี้เป็นเสียงของพี่ซี แถมพี่ซียังเรียกผมว่ารินอีกด้วย
ดูท่าเรื่องที่ผมกับเรนสับเปลี่ยนตัวกันจะแตกซะแล้ว…
ว่ายังไงล่ะ ทำไมคุยกันแค่แป๊ปเดียวไอ้บอยถามอย่างสงสัย ซึ่งผมก็ตอบมันกลับไปว่าพี่ซีเป็นคนรับ พี่ซี? ใครอีกกันล่ะนั่น
รุ่นพี่ปีสามพี่ว๊ากที่คณะกูเองแหละ มึงไม่ต้องถามมากหรอก กูขี้เกียจตอบ ผมบอกปัดอย่างรำคาญ แต่มันกลับทำหน้าโมโห คว้ามือผมดึงเข้าหาตัวอย่างแรง
กูถามดีๆนะครับเมีย กรุณาช่วยบอกให้หมดด้วย
แล้วทำไมกูต้องบอกมึงหมดทุกเรื่องด้วยล่ะไอ้คุณผัวผมพูดย้อนครับ เรื่องอะไรที่ผมจะยอมให้มันพูดข่มอยู่ฝ่ายเดียวได้ล่ะ กะอีแค่กูยอมมีอะไรกับมึงด้วยก็เป็นบุญหัวแล้ว
ริน!”
เรียกกูทำไม กลัวลืมชื่อรึไงผมพูดจากวนตีนใส่ แน่ล่ะ ก็ผมไม่ได้ชอบมันเลยซักนิด แถมต้องมามีอะไรกับมันบนรถเกือบทั้งคืนก็แทบจะเป็นบ้าแล้วครับ แล้วมือนะ กรุณาปล่อยด้วย กูเจ็บ
มันยอมปล่อยมือตามที่ผมบอกด้วยครับ แต่ทว่ามันกลับผลักอกผมลงไปนอนบนเตียงอย่างแรงก่อนจะขึ้นคร่อมตัวผมทันที
ก็ได้ ถ้ามึงไม่บอก งั้นกูจะไปเอากับพี่มึงนะ
!!!!!!
ว่ายังไงล่ะ จะยอมบอกดีๆหรือจะให้กูไปเอากับพี่มึงแทน
กะ…ก็ได้ กูยอมบอกมึงแล้วไอ้บอย ยะ…อย่าไปทำอะไรพี่กูเชียวล่ะ กูขอร้องกลัวครับ กลัวมันจะไปทำอะไรกับเรน แค่ผมคนเดียวก็เกินพอแล้ว ส่วนมันก็ยกมุมปากยิ้มอย่างพอใจกับคำตอบ ก่อนจะยกมือขึ้นเกลี่ยน้ำตาที่ไหลอาบแก้มผมอย่างเบาๆ (นี่ผมร้องไห้ออกมาตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย)
แน่ใจนะว่ายอมบอกแล้วนะ
อื้อ ยอมบอกแล้ว
แล้วก็เรื่องที่เมื่อคืนอยู่ๆมึงก็เกิดความรู้สึกทางเพศกับเรื่องรอยแผลเป็นบนตามตัวมึงด้วยนะ นี่มึงกะจะเอาให้ได้ทุกเรื่องเลยใช่ไหมเนี่ย
เอ่อ สองเรื่องนี้กูไม่ขอบอกมึงได้ไหมวะไอ้บอย ไม่อยากบอกเรื่องความสัมพันธ์พิสดารของผมกับเรนครับ กลัวจะซ้ำรอยเดิมเหมือนตอนที่พวกเราสองคนเคยเจอตอนเรียนอยู่ชั้นประถม (โดนเพื่อนกลั่นแกล้งเพราะเห็นเป็นเรื่องสนุก) แถมนอกจากนี้ผมกลัวไอ้บอยจะรับเรื่องนี้ไม่ได้ด้วยครับ
ไม่ได้ ต้องบอกมันพูดขู่หน้าตายครับ แต่ถ้ามึงไม่บอก งั้นกูไปเอากับพี่มึงนะ
ดูท่าผมคงต้องยอมบอกมันซะแล้วมั้งครับเนี่ย แหม ขู่ได้ขู่ดีจัง
โอเค กูยอมมึงแล้ว บอกก็บอก มึงเองเหอะรีบลุกออกไปจากตัวกูได้แล้ว มันหนักนะเว้ยผมพูดพลางใช้มือยันอกมันให้ลุกออกไปครับ แต่ไอ้บอยกลับนิ่งไม่ยอมลุก
เห็นทีคงจะไม่ได้แล้วครับเมีย เพราะไอ้บอยน้อยของกูมันตื่นแล้ว
!!!!!!!!