ตอนที่ 28 ปรับความเข้าใจ
“พี่ว่าซีไม่ได้รังเกียจน้องหรอก”
พี่ออยบอกหลังจากฟังเรื่องที่ผมเล่าจนจบแล้ว
แถมพี่ออยก็ไม่ได้มีท่าทีจะรังเกียจผมอีกด้วย “พี่คบกับมันมานานแล้ว
พอรู้ว่านิสัยของมันเป็นยังไง คนอย่างไอ้ซีไม่เคยรังเกียจใครแบบไม่มีเหตุผลหรอก
เชื่อพี่สิ”
“แต่…”
“ที่มันไม่พูด อาจจะเป็นเพราะกำลังคิดอะไรบางอย่างอยู่
แต่ไม่ต้องห่วง เดี๋ยวมันก็กลับมาแล้วล่ะ” พี่ออยพูดพลางเอามือลูบหัวผมเบาๆ “เอ่อจริงสิ
พี่ลืมไปว่าเมื่อวานเราทิ้งรถไว้ที่ผับนั่นใช่ไหม
ตอนนี้พี่กับเพื่อนขับรถมาไว้ที่ลานจอดรถคณะนี้แล้วนะ”
“ครับ ขอบคุณครับพี่ออยน”
ผมตอบก่อนจะยื่นมือรับกุญแจรถจากพี่ออยมาเก็บใส่กระเป๋ากางเกง
“ส่วนเรื่อง…” พี่ออยหยุดพูดพลางมองหน้าผม ก่อนจะพูดต่อ “…บาส คนที่ทำร้ายน้อง พี่ส่งเขาไปโรงพยาบาลแล้ว
แต่น้องไม่ต้องเป็นห่วงว่ามันจะกลับมาทำร้ายน้องอีกนะ เพราะโดนซีเล่นงานซะน่วม ฮะๆ”
หลังจากนั้นพี่ออยก็ไล่ให้ผมไปล้างหน้าล้างตาก่อนจะขอตัวไปทำธุระให้กับอาจารย์ต่อ
ส่วนผมก็เดินเข้าไปนั่งเรียนหนังสือในห้องเรียน ซึ่งวันนี้ไม่มีอะไรมาก
แค่จับคู่สนทนาตามที่อาจารย์สั่ง
วันนี้ผมยังไม่เห็นไอ้บอยเข้ามาเรียนหนังสือเลยครับ พอผ่านไปได้ครึ่งคาบ
ร่างสูงที่ผมคิดว่าไม่น่าจะมาก็ดันเดินเข้าในห้องเรียนในสภาพที่แก้มบวมเล็กน้อย
กับผ้าปิดแผลแปะติดอยู่ที่มุมปาก ดูก็รู้ว่าไปมีเรื่องมาชัวร์ ครั้นพอบอยเดินผ่านมาตรงที่ผมนั่ง
มันก็ได้เหลือบตามองมาที่ผม
ซึ่งสายตาของมันแลดูเย็นชามากจนผมได้แต่หันหน้าหนีอย่างรู้สึกผิด
แล้วมันก็เดินเลยผ่านผมไปโดยไม่พูดอะไรซักคำเดียว ระหว่างเรียน
รินได้ส่งข้อความมาบอกผมว่าตอนนี้อยู่ที่มหาวิทยาลัยแล้วไม่ต้องเป็นห่วง เมื่อจบคลาส
ผมกะว่าจะไปพูดขอโทษมันอีกครั้ง แต่ก็ไม่ทันครับ
เพราะมันดันเล่นเดินหนีขึ้นรถขับออกไปอย่างรวดเร็ว
หลังจากที่ผมเดินกลับมาข้างในตึกคณะ
ผมก็โดนไอ้แว่นกับไอ้ไอซ์ลากตัวไปสอบสวน
ซึ่งผมก็บอกพวกมันได้คร่าวๆว่ามีปัญหากับเด็กรุ่นน้องต่างคณะเท่านั้น แต่ก็ไม่ได้บอกละเอียดมากครับ
ส่วนพวกมันสองคนเห็นว่าผมไม่ยอมบอกอะไรมากกว่านี้ก็เลยไม่คิดจะซักถามต่อ
มีเพียงแต่บอกผมว่าตัวเองเป็นถึงประธานนักเรียนปีสามอย่าได้ไปมีเรื่องทะเลาะวิวาทกับใครอีก
ไม่งั้นมันจะเป็นเรื่องใหญ่เอาได้ ครั้นตกเย็นไอ้ออยก็กลับมาตึกคณะแล้วครับ ทีแรกผมไม่ได้สนใจว่ามันไปไหนมา
แต่พอมันมาถึงก็ดึงมือผมให้ลุกเดินตามมันเฉยเลยครับ
“มีอะไรวะไอ้ออย
อีกเดี๋ยวก็จะถึงเวลาเรียกรวมเด็กปีหนึ่งแล้วนะเว้ย”
“เออ แค่เสียเวลาคุยกับกูหน่อยเดียวมันจะตายรึไงวะไอ้ซี
มาเลยไม่ต้องพูดมาก” แล้วมันก็ลากผมไปยืนในที่ลับตาคน ซึ่งพอมาถึงมันก็ปล่อยมือแล้วหันหน้ากลับมาทางผมอีกครั้ง
“กัดฟันด้วยนะมึง”
“ห๊ะ อะไรนะ” ผมงงครับ
แต่ยังไม่ทันหายงงไอ้ออยก็ต่อยผมอย่างแรงหนึ่งที
ผัวะ!
“เฮ้ย หาเรื่องกันรึไงวะไอ้สัดออย!” ผมพูดพลางเอามือกุมแก้มที่ถูกต่อยเพราะรู้สึกเจ็บ
“กูเปล่าหาเรื่องมึง ที่กูต่อยเพราะมึงไปทำให้น้องเรนร้องไห้ตั้งหากล่ะ”
“อะไรนะ เรนร้องไห้เหรอ?”
“ก็เออสิวะ แม่ง ต่อยมึงแล้วเจ็บมือชิบหาย” ไอ้ออยพูดไปสะบัดมือไปพลาง
“เมื่อตอนเที่ยงเกือบบ่ายกูเห็นน้องมึงนั่งร้องไห้อยู่หน้าตึกคณะ กูเลยเข้าไปถาม
ถึงได้รู้ว่าน้องเขาร้องไห้เพราะอะไร มึงเองก็รีบกลับไปหาน้องเรนได้แล้วนะ
ไปพูดเคลียร์กับน้องให้รู้เรื่องเดี๋ยวนี้เลย”
“เคลียร์? เคลียร์เรื่องอะไรวะ” ผมถามกลับด้วยความมึนงง
แต่มันกลับเอามือตบหัวผมหนึ่งที
“ไอ้สัดโชว์โง่ตลอดเลยนะมึง
ที่กูพูดนั้นหมายถึงให้มึงรีบกลับไปพูดให้เคลียร์กับน้องว่ามึงไม่ได้รังเกียจน้องเรนเรื่องความสัมพันธ์ของฝาแฝดนั่นยังไงเล่า”
“เฮ้ย กูไม่ได้พูดว่ารังเกียจเรื่องนั้นกับเรนเลยซักคำ
ทำไมถึงเป็นแบบนั้นไปได้”
“ไม่รู้ล่ะ ขืนมึงยังไม่รีบไปอีก
เดี๋ยวกูได้เตะมึงส่งโรงพยาบาลแน่ไอ้ซี โทษฐานโชว์โง่ไม่รู้จักเวล่ำเวลา” พอมันพูดจบ
ก็ทำท่าจะเตะผมจริงๆครับ
ทำเอาผมถึงกับรีบวิ่งออกไปยังลานจอดรถก่อนจะขึ้นรถตัวเองแล้วขับออกไปหาน้องเรนที่คณะศึกษาฯอย่างรวดเร็ว
หลังจบคลาสผมก็เดินเข้าไปซ้อมเปียโนที่ห้องดนตรี
ระยะหลังไม่ได้เข้าห้องเชียร์แล้วครับ เพราะต้องอยู่ซ้อมดนตรี
ซึ่งพวกรุ่นพี่ก็ไม่ได้ว่าอะไร กลับสนับสนุนผมอย่างเต็มที่
ส่วนกิ๊ฟกลับมาบอกยกเลิกร้องเพลงร่วมกับผม เห็นบอกว่าเสียงตัวเองมีปัญหา
ทำให้ไม่สามารถไปร้องแข่งประกวดคู่กับผมได้ (แต่เห็นบอกว่าจะเต้นเดี่ยวแทนครับ)
พอซ้อมจนเสร็จ ผมก็เดินออกมาพร้อมกับส่งข้อความบอกรินว่าจะขับรถไปที่ตึกคณะ
เรน : เดี๋ยวเรนจะไปรับที่คณะนะริน ^O^
ริน : อืม จะรอที่เดิม ^O^
แล้วผมก็เก็บมือถือเข้ากระเป๋าเตรียมจะเดินไปที่ลานจอดรถของคณะ
แต่ยังไม่ทันได้ไปไหนเลย ก็ดันไปเห็นร่างสูงคุ้นตากำลังเดินมาทางผม
ทำเอาผมรีบหันหลังวิ่งหนีทันทีเพราะยังไม่อยากเจอพี่ซีในตอนนี้ครับ แต่ผมก็วิ่งหนีไม่ทัน
ถูกร่างสูงวิ่งตามมาคว้าไหล่ให้หันกลับไปก่อนจะสวมกอดผมไว้ซะแนบแน่น
“ปล่อยผมนะพี่ซี ปล่อย!” ผมร้องไปดิ้นไปพลาง
จะเรียกให้คนอื่นช่วยก็ไม่ได้ซะด้วย เพราะตอนนี้ไม่มีใครอยู่แถวนี้เลยซักคนเดียว
“ไม่ครับที่รัก ถ้าผมปล่อย คุณก็วิ่งหนีผมสิ” พี่ซีพูดแย้งในขณะที่ผมพยายามดิ้นในอ้อมแขนของเขา
แต่สิ่งที่พี่ซีทำไว้เมื่อตอนกลางวัน
ทำเอาผมรู้สึกเสียใจจนต้องร้องไห้ออกมาอีกครั้ง
“ฮึก ฮือๆ ปล่อยผม บอกให้ปล่อยผมยังไงล่ะ ฮือๆ ปล่อย!” ผมร้องไห้ทุบหลังพี่ซีไป
แต่อีกฝ่ายก็ไม่มีทีท่าว่าจะยอมปล่อยผม “บอกให้ปล่อยไงล่ะ ฮึกๆ ฮือๆ คนใจร้าย ฮือๆ
พี่รังเกียจผมแล้วไม่ใช่หรือ ฮึกๆ แล้วนี่กลับมาหาผมทำไมอีก...ฮือๆ”
“ขอโทษ...ขอโทษครับที่รัก...ผมขอโทษ”
ร่างสูงยังคงกอดผมพูดกล่าวขอโทษอยู่อย่างนั้น
ซึ่งผมไม่รู้ว่าตัวเองร้องไห้นานมากแค่ไหน จนกระทั่งหมดแรงที่จะร้องแล้ว พี่ซีถึงจะคลายกอดผมก่อนจะหันมาใช้นิ้วมือเช็ดน้ำตาให้กับผมเบาๆ
“ขอโทษนะครับที่รัก ผมขอโทษที่ทำให้คุณต้องร้องไห้เพราะผม”
“พี่ซี”
ผมพูดชื่อร่างสูงพลางจ้องอีกฝ่ายที่มองผมกลับมาด้วยสายตาอ่อนโยน
“ตอนนั้นผมยอมรับว่าผมสับสนกับเรื่องที่ได้ยินมา
แถมผมไม่ได้พูดอะไรกับคุณ ก็เลยทำให้คุณเข้าใจผิดไป”
พี่ซีพูดพลางเอามือลูบไล้แก้มผมเพื่อเช็ดคราบน้ำตาที่ติดอยู่ตรงนั้น “แต่ผมขอยืนยันอย่างลูกผู้ชายว่าผมไม่เคยรังเกียจพวกคุณสองคนฝาแฝดเลยแม้แต่น้อย
ฉะนั้นคุณไม่ต้องคิดมากอีกนะครับที่รัก
เพราะนับต่อจากนี้ไปผมจะไม่ให้คุณต้องร้องไห้เสียใจเพราะผมอีก ผมให้สัญญา”
หลังจากปรับความเข้าใจกันเรียบร้อยแล้ว
พี่ซีก็ได้เดินมาส่งผมที่รถ โดยก่อนจะจากกันพี่ซีได้เข้ามาจุ๊บปากผมเบาๆด้วย
ซึ่งทำเอาผมเกือบขับรถไปรับรินไม่ไหว (ก็คนมันเขินนี่ครับ)
คืนนั้นหลังจากกลับบ้านพร้อมกับริน
ผมก็ได้ถามรินด้วยความเป็นห่วง ซึ่งรินก็ไม่ได้ว่าอะไรผมครับ
แถมยังถามผมกลับว่าเกิดอะไรขึ้นกับผมบ้าง เจ็บตรงไหนไหม ใครทำอะไรผมบ้างหรือเปล่า
ผมเองก็ไม่คิดจะปิดบังน้องชาย จึงบอกไปตรงๆ
ส่วนรินก็บอกผมตรงๆด้วยเช่นกันว่าไปเจออะไรมาบ้าง
ทำเอาผมอยากจะบ้าตายเมื่อรู้ว่าไอ้บอยทำอะไรกับริน แต่ก็พูดไม่ได้มากหรอกครับ
เพราะรินเป็นฝ่ายเริ่มจูบมันก่อน
แถมผมเองก็มีความส่วนผิดที่ทำให้รินต้องมาเจอแบบนี้ด้วย
(เพราะผมดันไปโกหกมันเอาไว้ เวรกรรมก็เลยตามมาทันยังไงล่ะครับ)
ซึ่งพอรุ่งเช้าวันถัดมา ทั้งผมทั้งรินต่างมีเรื่องเซอร์ไพรส์ด้วยกันทั้งคู่
นั่นก็คือพี่ซีกับไอ้บอยได้มายืนรอรับพวกผมอยู่ที่หน้าบ้านแล้วครับ
ทำเอาคุณพ่อกับคุณแม่ถึงกับแปลกใจแต่ก็ไม่ได้ว่าอะไรพวกผมสองคนมาก
มีเพียงแต่พูดตำหนิเชิงสั่งสอนพี่ซีกับบอยเรื่องการใช้รถยนต์ว่าไม่ควรใช้พร่ำเพรื่อ
เพราะสิ้นเปลืองน้ำมันโดยใช่เหตุ แถมเงินที่ใช้มาซื้อน้ำมันก็เป็นเงินของพ่อแม่ตัวเองด้วย
เพราะด้วยเหตุนี้ก็เลยทำให้ทั้งผมทั้งรินทั้งพี่ซีทั้งบอยต้องมานั่งรถคันเดียวกันเพื่อไปมหาวิทยาลัย
ส่วนรถที่ใช้เป็นรถของที่บ้านผมครับ
เพราะคุณพ่อกับคุณแม่ไม่อยากให้พี่ซีหรือบอยขับรถหรูออกไปใช้ในมหาวิทยาลัย
เพราะมันดูไม่ดีสำหรับเด็กที่กำลังกินกำลังเรียน (ถ้าถามว่าใครเป็นคนขับนั้น
ก็ไม่พ้นพี่ซีครับ) ทำให้บรรยากาศในรถตอนขาไปมหาวิทยาลัยถึงกับครุกกรุ่น
เพราะต่างคนต่างไม่พูดไม่จากัน ยิ่งกับพี่ซียิ่งแล้วใหญ่
เพราะไม่ชอบขี้หน้าไอ้บอยมากครับ เมื่อมาถึงมหาวิทยาลัยแล้ว
พี่ซีก็ขับรถมาส่งผมกับไอ้บอยก่อนเลยครับ (ตึกคณะผมอยู่ใกล้กว่า
ก็เลยต้องมาส่งก่อน)
“ที่รักครับ
เวลาเรียนอย่าไปนั่งใกล้ไอ้บอยนะครับ ผมหวง”
คำพูดของพี่ซีทำเอาผมถึงกับหน้าร้อนผ่าว แถมก่อนจะไปมีการจุ๊บมือผมด้วยครับ “ตั้งใจเรียนหนังสือนะครับที่รัก จุ๊บๆ”
ผมแอบเห็นรินนั่งหันหน้าหนีตอนพี่ซีจุ๊บหลังมือผมด้วยครับ
(คงอาย) ส่วนไอ้บอยไม่ต้องพูดถึง พอมันเดินลงจากรถแล้ว
ก็จ้ำเท้าเดินเข้าไปในตึกทันทีโดยไม่หันกลับมา
หลังจากลาพี่ซีเสร็จผมก็เดินเข้าไปเรียนหนังสือในห้อง พอจบคาบเช้า
ตอนพักเที่ยงพี่ซีก็ส่งข้อความมาบอกผมว่าไม่ว่างมาทานข้าวด้วย ให้ทานไปก่อนได้เลย
ซึ่งผมก็ไปนั่งทานข้าวกับพวกเพื่อนๆผู้หญิง (พวกกิ๊ฟนะครับ)
ก็มีบ้างที่พวกผู้ชายในห้องเข้ามานั่งร่วมวงทานอาหารด้วย
(ส่วนไอ้บอยผมไม่รู้ว่ามันหายไปไหน) พอตกบ่ายผมไม่มีเรียนครับ
ก็เลยต้องไปนั่งซ้อมเปียโนที่ห้องดนตรีคนเดียว
เมื่อคืนผมได้โทรไปหารินด้วยครับ ซึ่งอีกฝ่ายก็ยอมรับสายผม
แต่เนื่องจากไม่รู้จะคุยอะไรกับรินดี
ผมกับรินจึงได้แต่ถือสายฟังเสียงลมหายใจของกันและกันอย่างเงียบๆ
จนกระทั่งเสียงของเรนตะโกนเรียกให้รินเข้านอนเท่านั้นแหละ
ผมถึงกับรีบกดตัดสายทิ้งทันทีเพราะไม่อยากได้ยินเสียงของเรน
พอรุ่งเช้าผมไม่รู้เป็นบ้าอะไร ขับรถไปรับรินถึงบ้าน
แต่กลับเจอไอ้คนที่มาต่อยผมเมื่อวานนี้ยืนอยู่หน้าประตูทางเข้าบ้าน
มันมองหน้าผมด้วยสีหน้าเกรี้ยวกราด
ซึ่งผมเองก็มองหน้ามันตอบกลับไปด้วยสีหน้าโมโหด้วยเช่นกัน
ไอ้ผมก็หงุดหงิดเมื่อต้องนั่งรถไปพร้อมกับมัน
(ไม่อยากนั่งรถกับไอ้รุ่นพี่คนนี้หรอกครับ แต่จำใจต้องยอม) พอมาถึงตึกคณะ
มีการคุยกระหนุงกระหนิงบอกลาจนผมต้องเดินจ้ำเท้าเข้าไปในตึก
(ไม่ต้องสงสัยหรอกนะครับว่าทำไมผมกับรินถึงไม่ยอมคุยกัน)
ช่วงตอนเรียนหนังสือผมก็ไปนั่งเรียนกับพวกเพื่อนอีกกลุ่ม จนจบคลาสแล้วผมก็เลือกที่จะเดินออกไปสูบบุหรี่ข้างนอกแก้เครียด
เมื่อสูบจนพอใจแล้วก็เดินกลับเข้ามาเพื่อที่จะไปเข้าห้องน้ำแล้วจึงค่อยไปหาข้าวทาน
แต่ในขณะที่ผมกำลังจะเดินไปโรงอาหาร อยู่ๆก็ได้ยินเสียงเปียโนดังขึ้น
ทำเอาผมหยุดชะงักเดินก่อนจะมองหาต้นเสียงเพลง (เสียงเพลงมันเพราะครับ)
ซึ่งมันอยู่ในห้องที่ผมกำลังยืนอยู่ตรงหน้านี้
ครั้นพอผมเปิดประตูแง้มเข้าไปก็เห็นคนที่ผมโกรธนักโกรธหนากำลังเล่นเปียโนกับร้องเพลงอยู่ในห้องคนเดียวครับ
แต่เพราะอีกฝ่ายเล่นเพลงบวกกับการร้องเพลงของเรนได้เพราะมาก ก็เลยทำให้ผมลืมตัวเผลอยืนฟังอยู่อย่างนั้น
จนกระทั่งจบเพลงผมถึงได้รู้สึกตัวก่อนจะเดินหนีออกไปโดยที่คนในห้องไม่ทันได้รู้สึกตัวว่ามีใครแอบฟังอยู่
ผมเดินออกมาได้ไกลแล้วจึงหยุดเดินก่อนจะคิดว่าตัวผมเป็นอะไรกันแน่
ทำไมเมื่อครู่นี้ถึงหยุดยืนฟังได้ตั้งนานทั้งๆที่ผมควรน่าจะเดินหนีออกมา
ใช่ว่าผมจะเกลียดเรนคนเดียว รินก็ด้วยเช่นกันครับ แต่ถ้าให้เทียบแล้วเรนสวมควรที่ถูกผมเกลียดมากกว่า
เพราะเรนแทนที่จะห้ามรินเรื่องสลับตัว กลับสนับสนุนน้องชายให้หลอกคนอื่นได้เกือบเดือน
Trr…
เสียงมือถือดังขึ้น ทำเอาผมหยิบมือถือขึ้นมาดูก่อนจะมุ่นคิ้วเมื่อเห็นชื่อของคนที่โทรเข้ามา
(เป็นพ่อของผมเองครับ)
แต่ผมขี้เกียจคุยด้วยจึงตัดสายทิ้งก่อนจะปิดเครื่องหนีเสียเอาดื้อๆ
แต่โดยหารู้ไม่ว่าการปิดเครื่องหนีในครั้งนี้ทำให้ผมต้องมีเรื่องเดือดร้อนในภายหลังอย่างที่หลีกเลี่ยงไม่ได้