วันอังคารที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

ตอนที่ 1 ภาม

ตอนที่ 1 ภาม

เมื่อวานนี้พี่ออยได้ขอผมเป็นแฟน ซึ่งผมไม่ได้ให้คำตอบไป เพราะชิ่งหนีกลับบ้านไปเสียก่อน ผมไม่มั่นใจกับความรักที่พี่ออยมอบให้หรอกครับ กลัวว่ามันจะเป็นความสงสารมากกว่า ใช่ มันต้องเป็นแบบนั้นแน่ๆ ก็เพราะมันเป็นคนพิการนี่ครับ ใครหน้าไหนจะมารักผมจริง ซึ่งผมกลัวจะถลำลึกไปมากกว่านี้ ก็เลยยอมถอนตัวออกมาเสียแต่เนิ่นๆ ก่อนที่มันจะสายเกินไป ถึงแม้ปัจจุบันนี้สังคมจะเปิดรับกว้างเรื่องชายรักชายก็ตาม แต่กับครอบครัวผมคงไม่ได้เปิดรับเรื่องพวกนี้อย่างแน่นอน โชคดีที่เช้านี้คุณพ่อคุณแม่ออกไปทำงานแต่เช้าตรู่แล้ว ก็เลยทำให้ผมไม่ต้องออกมาทำอาหารให้พวกท่านทาน แล้ววันนี้เป็นวันเปิดเทอมวันแรก ผมต้องนั่งรถเมล์เข้าไปในมหาวิทยาลัย ซึ่งมันอยู่ไกลมากครับ ต้องออกแต่เช้าตรู่ ไม่งั้นไปไม่ทันแน่
เอี๊ยด!
เสียงรถเบรกดังขึ้น ทำเอาผมที่กำลังยืนรอรถเมล์หน้าปากซอยทางเข้าหมู่บ้านถึงกับหันไปมองต้นเสียง ก่อนจะแลเห็นรถหรูขั้นเทพ เอ้ยไม่ใช่ รถปอร์เช่สีขาวคุ้นตาจอดอยู่ข้างขวาผม และที่ยิ่งกว่านั้น ร่างสูงคุ้นตาที่ขอผมเป็นแฟนเมื่อวานก็นั่งขับอยู่ในรถคันนั้นด้วยครับ (สวมแว่นตาสีดำอย่างเท่ห์)
“จะไปมหาวิทยาลัยไม่ใช่รึไง ขึ้นรถมากับพี่สิ จะได้ไปพร้อมๆกัน”
“ไม่เป็นไรฮะพี่ออย หนูนั่งรถเมล์ไปเองได้” ผมยิ้มตอบ เกรงใจครับ ถึงจะอยู่ข้างบ้านกัน และเคยนั่งทานข้าวด้วยกันเกือบทุกเช้า(?) แต่ผมก็ไม่กล้านั่งรถไปพร้อมกับพี่ออยหรอกครับ
“ขึ้นมาเร็วครับน้องภาม เดี๋ยวรถคันหลังก็ได้บีบแตรไล่พี่หรอก”
“เอ่อ...หนู”
แปร๊น!
เสียงแตรรถดังขึ้นจริงๆครับ คราวนี้มีทั้งสายตาคนรอรถเมล์กับคนเดินผ่านแถวนั้นต่างมองมาที่ผมกันเป็นแถว ไอ้ผมรึจะหน้าด้านอยู่ต่อทำไมครับ รีบขึ้นรถอย่างไวก่อนพี่ออยจะเข้าเกียร์แล้วขับรถพาผมออกไปทันที

เมื่อวานนี้ผมรู้สึกเสียใจเหมือนกันที่น้องภามไม่ตอบรับผมเป็นแฟน แต่ไม่เป็นไรครับ ผมรอเขาได้ วันนี้ก็เป็นอีกวันที่ผมตื่นแต่เช้าตรู่ เพราะรู้ดีว่าวันนี้น้องภามต้องนั่งรถเมล์ไปมหาวิทยาลัย ผมจึงรีบขับรถไปรับน้องที่ยืนรอรถเมล์ที่หน้าปากซอยทางเข้าหมู่บ้าน (ดีนะที่มีรถแล่นตามหลังมา ไม่งั้นน้องภามไม่ยอมขึ้นรถมากับผมหรอกครับ) พอผมขับรถมาถึงมหาวิทยาลัยแล้ว ก็ขับรถจอดข้างร้านอาหาร ซึ่งทำเอาร่างบางหันมามองด้วยความสงสัย
พี่หิวแล้ว ภามเองก็ยังไม่ได้ทานข้าวใช่ไหมล่ะ ลงไปทานข้าวกับพี่ก่อนนะ
ฮะพี่ออยเด็กน้อยยิ้มตอบอย่างว่าง่าย ทำเอาผมฉีกยิ้มพลางขยี้เส้นผมร่างบางเบาๆเสียมิได้ พี่ออยอย่าทำแบบนี้สิ ผมหนูเสียทรงหมดแล้ว
ฮะๆ ถึงจะเสียทรงก็ยังน่ารักสำหรับพี่อยู่ดีนั่นแหละครับ หยอดนิดหน่อยครับ ซึ่งเจ้าตัวก็หน้าแดงอายม้วนไปตามระเบียบ พอผมกับน้องลงจากรถแล้ว ผมก็เดินเข้าไปคว้ามือบางพาเดินเข้าไปนั่งในร้านเลยครับ
จะเอาอะไรก็สั่งได้เลยตามสบาย
ฮะพี่ออยแล้วเจ้าตัวก็สั่งข้าวไข่ดาวครับ ของโปรดเขาเลยนะนั่น ส่วนผมก็ไม่พ้นข้าวผัดกะเพราไข่ดาว พอข้าววางตรงหน้าพวกผมแล้ว น้องภามก็ถามผมก่อนเลยครับ ทำไมพี่ออยทานเผ็ดจังฮะ ไม่กลัวแสบท้องเหรอ
ไม่พูดเปล่าเพียงอย่างเดียว มีเอียงคอแลดูน่ารัก(ฟัด)ด้วยครับ
ไม่กลัวครับ เพราะพี่แค่มองหน้าหนูไปทานไปก็หายแสบแล้วครับพอผมพูดจบ อีกฝ่ายก็หน้าแดงเลยทันที (หึๆ) เอาล่ะ รีบทานข้าวเถอะ เดี๋ยวพี่จะพาเราขับรถชมมหาวิทยาลัย คราวหน้าคราวหลังไปไหนจะได้ไม่หลงทาง
ฮะพี่ออย

หลังจากผมกับพี่ออยกินอิ่มเต็มคราบ(?) ร่างสูงก็ขับรถพาผมมาส่งที่หน้าตึกคณะครับ
ตั้งใจเรียนนะครับน้องภาม ถ้ามีใครแกล้งหนู ก็ให้โทรหาพี่ได้ แล้วตอนเย็นถ้ารับน้องเสร็จก็ให้โทรหาพี่ แล้วพี่จะรีบขับรถมารับดูพี่ออยสิครับ พูดยาวเสียจนผมไม่รู้จะตอบคำถามไหนก่อนดี
ฮะพี่ออยพอผมลงจากรถ พี่ออยก็ขับรถออกไปทันที ส่วนผมก็หมุนตัวเดินเข้าไปในตึกคณะ แน่นอนว่าพอผมเข้าไปก็เห็นร่างสูง ใบหน้าคมคาย ผิวสีแทนสวมชุดนิสิตถูกระเบียบกำลังยืนโบกไม้โบกมือให้ผมที่ม้านั่งอยู่ ไอ้ผมเห็นก็รีบเดินเข้าไปหาคนโบกมืออย่างรวดเร็ว มาแต่เช้าเชียวนะธีร์ แล้วนี่ทานข้าวเช้าหรือยังล่ะ
ธีร์เป็นเพื่อนสนิทตั้งแต่สมัยมัธยม มันสอบเอนทรานซ์คณะเดียวกับผมครับ
ยังเลย ธีร์รอทานข้าวพร้อมกับภามอยู่ครับปกติเพื่อนสนิทเขาจะพูดกูมึง แต่นี่กลับใช้คำสุภาพตลอด แถมยังใช้กับผมคนเดียวด้วย ทำเอาผมถึงกับปลื้มที่ได้ธีร์เป็นเพื่อนสนิทครับ
อ้าว รอทำไมล่ะ เกิดภามมาช้า ธีร์ไม่หิวแย่เลยหรือ
เรื่องหิวเรื่องเล็กครับ ธีร์รอได้ มันยิ้มตอบกลับมา
ไม่ได้ๆ ทีหลังอย่าทำแบบนี้อีกล่ะ ภามไม่ชอบ ผมพูดแย้งพลางคว้ามือเพื่อนสนิทให้ออกเดิน ไป ไปทานข้าว เดี๋ยวมื้อนี้ภามเลี้ยงเอง
แล้วผมก็ลากธีร์ไปโรงอาหารเลยครับ พอมาถึงก็สั่งให้ธีร์นั่งรอก่อนที่ผมจะจรลีไปสั่งอาหารให้มัน
คุณน้าคนสวยฮะ หนูขอข้าวผัดกะเพราไข่ดาวหนึ่งจานกับน้ำส้มคั้นหนึ่งแก้วฮะ ผมสั่งเสียงเจื้อยแจ้ว ทำเอาแม่ค้ารุ่นแม่ได้ยินคำชมจากปากผมถึงกับยิ้มเลยครับ
ดูพูดเข้า ชมน้าแบบนี้ระวังสาวไม่แลเอานะ
ก็คุณน้าสวยจริงๆนี่ฮะ นี่ถ้าหนูเกิดทันคุณน้า หนูจะจีบคุณน้าเป็นคนแรกก่อนเลยผมแย้งกลับไป ทำเอาอีกฝ่ายกับแม่ค้าพ่อค้าใกล้เคียงถึงกับยิ้มหัวเราะผมด้วยความเอ็นดู
ปากหวานแบบนี้เอาน้ำส้มคั้นไปอีกแก้วล่ะกันจ้ะพ่อหนุ่ม
ขอบคุณคร้าบบบบ คุณน้าใจดีที่สุดเลย!ผมยิ้มตอบด้วยน้ำเสียงเริงร่า แล้วผมก็ได้ยินเสียงหัวเราะดังมาจากข้างๆ ทำเอาผมหันกลับไปมองก่อนจะเห็นร่างสูงขาวพอประมาณกับผม แต่สูงกว่าผมอยู่นิดหน่อยกำลังยืนยิ้มอยู่ อ้าวเรน มาตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย ภามไม่ทันเห็น
เรนคือเพื่อนอีกคนที่ผมรู้จักตอนรายงานตัว แต่เขาเรียนอยู่คนละเอกกับผมครับ
ก็มาตั้งแต่ภามม่อคุณน้าขายอาหารนั่นแหละ คิกๆ
ใครม่อ ภามเปล่านะผมพูดอย่างงอนๆ แต่ก็ไม่ได้คิดมากเพราะรู้ดีว่าอีกฝ่ายพูดแซวผมเล่นครับ ว่าแต่นี่มาทานข้าวเหรอ งั้นไปนั่งทานข้าวกับภามไหม พอดีภามกำลังซื้อข้าวให้เพื่อนอยู่นะ
อีกฝ่ายได้ยินที่ผมพูดถึงกับส่ายหน้าครับ
ขอบคุณที่ชวนนะภาม แต่เรนทานมาจากที่บ้านแล้ว นี่มาซื้อน้ำส้มคั้นเฉยๆนะ
เหรอ งั้นแล้วไป ไว้โอกาสหน้าแล้วกันนะ
อืม ไว้โอกาสหน้าแล้วกัน
ผมยืนคุยกับเรนอยู่สองสามคำ พอได้อาหารแล้วผมก็บอกลาก่อนจะเดินถือจานข้าวกับน้ำส้มคั้นกลับไปหาธีร์


ผมธีร์ ธีรศักดิ์ เป็นเพื่อนสนิทของภามตั้งแต่สมัยมัธยม อันที่จริงผมรู้จักกับภามตั้งแต่ประถมแล้วครับ แต่ภามจำไม่ได้ผมไม่ได้เอง จะไปว่าภามก็ไม่ได้ เพราะตอนนั้นผมไม่ได้สนใจเขาเลยซักนิด ผมเริ่มมาสนใจภามก็ตอนที่ภามเข้ามาช่วยผมตอนตกน้ำ (ตอนนั้นภามยังมีขาซ้ายอยู่นะครับ) เริ่มแอบมองแอบสืบประวัติครอบครัวของภาม (ผมไม่ได้โรคจิตนา แค่อยากรู้ไว้เฉยๆ) ว่ามีพ่อมีแม่และพี่ชายอีกหนึ่งคนที่อายุมากกว่าสิบปีชื่อภูมิ นอกจากจะแอบมองแล้วยังแอบเอาขนมไปวางไว้ตอนเจ้าตัวไม่อยู่ จนกระทั่งปิดเทอมใหญ่เตรียมขึ้นมัธยมต้น ภามกลับได้รับประสบอุบัติเหตุถูกรถยนต์ชน แต่โชคยังดีที่ได้ภูมิพี่ชายของภามช่วยเอาไว้ ก็เลยปลอดภัยครับ (แต่ขาขาด) ส่วนพี่ชายของภามกลับต้องเสียชีวิตแทน จะว่าช่วงนั้นเป็นช่วงเวลาโหดร้ายสำหรับภามเลยก็ว่าได้ครับ เพราะคนในครอบครัวต่างพากันรังเกียจภามและโทษว่าเป็นเพราะภามที่ทำให้พี่ชายของตัวเองต้องตาย ก็เลยทำให้ภามกลายเป็นคนซึมเศร้า พูดจาน้อยลง ไม่ร่าเริงอย่างที่เคยเป็น จนเกือบถึงขั้นฆ่าตัวตายด้วยซ้ำ (จากที่ฟังมาเห็นว่าพี่ออย พี่ชายที่อยู่ข้างบ้านเป็นคนเจอและช่วยไว้ได้ทันนะครับ) เพราะด้วยเหตุนี้ผมจึงย้ายโรงเรียนตามภามครับ (ต้องรีบทำคะแนน เดี๋ยวภามจะโดนไอ้พี่บ้านั่นคาบไปแดกครับ) 

อารัมภบท (พี่ออย & น้องภาม)

อารัมภบท (พี่ออย & น้องภาม)

เพล้ง!
ภาม! ไอ้ภาม!!” เสียงของตกแตกตามด้วยเสียงทุ้มตะโกนเรียกชื่อ ทำเอาผมที่กำลังนั่งอ่านหนังสือเรียนถึงกับสะดุ้งตกใจเฮือก มึงไม่ได้ยินที่กูเรียกหรือไงวะไอ้ภาม!!”
ได้ยินแล้วจ้ะ ได้ยินแล้ว!ผมตะโกนบอก ในมือปล่อยหนังสือลงบนพื้นหญ้าก่อนจะลุกขึ้นวิ่งกะเผลกเข้าไปในห้องครัว ครั้นพอเข้าไปแล้วก็เห็นร่างสูงของพ่อยืนตีหน้ายักษ์เหี้ยม
มัวทำซากอะไรอยู่ ทำไมไม่ทำอาหารให้พวกกูกิน!”
หนูกำลังอ่านหนังสือเรียนอยู่จ้ะพ่อผมก้มหน้าพูด ไม่อยากเห็นสีหน้าคุณพ่อเลยครับ น่ากลัวอย่างกะอะไรดี เดี๋ยวหนูจะทำให้…”
ไม่ต้อง! จะไปไหนก็ไปไป๊!!”
จ้ะพ่อผมตอบและกำลังจะหมุนตัวเดินกลับออกไปข้างนอกเพื่ออ่านหนังสือต่อ
“เดี๋ยว!
“จ้ะพ่อ? เรียกหนูทำไมเหรอจ๊ะ” ผมหมุนตัวกลับแต่กลับโดนอีกฝ่ายตบแก้มขวาอย่างแรง
เพียะ!
!!!!!!!
“จ้ะเจ๊อะบ้านมึงดิ ใครสั่งใครสอนให้มึงพูดแบบนั้น ลูกผู้ชายต้องพูดครับสิวะ!
“แต่คุณน้าข้างบ้านบอกว่า...” ผมพูดยังไม่ทันจบ ก็ต้องรีบหุบปากเพราะอีกฝ่ายทำท่าจะเข้ามาตบหน้าผมอีกครั้ง “...ก็ได้ครับคุณพ่อ หนูจะไม่พูด...”
เพียะ!
!!!!!!!
“ใครสั่งใครสอนให้มึงพูดแทนตัวเองว่าหนูห๊ะ!” คราวนี้ผมโดนตบที่แก้มซ้ายครับ เจ็บจังเลย ใครก็ได้ช่วยผมด้วย “จะไปไหนก็ไป! กูเบื่อที่จะฟังมึงพูดแล้วไอ้เหี้ย!
“ครับคุณพ่อ”
แล้วผมก็เดินออกไปโดยมือยังคงกุมแก้มที่โดนตบ ซึ่งมันไม่ได้เจ็บแค่ภายนอกเพียงอย่างเดียว ผมยังรู้สึกเจ็บถึงข้างในจิตใจ มันฝังลึกอยู่นานจนยากที่จะลืมเลือน ตั้งแต่จำความได้คุณพ่อไม่เคยใจร้ายกับผมแบบนี้หรอกครับ แต่พอเจออุบัติเหตุรถชนในตอนเด็กจนผมต้องเสียขาซ้ายไปข้างนั้น ทำเอาความสัมพันธ์ในครอบครัวก็พลันเปลี่ยนไปจากหน้ามือเป็นหลังมือ ไม่เพียงแค่คุณพ่อที่เกลียดผมเท่านั้น ยังมีคุณแม่ คุณปู่ คุณย่า คุณตา คุณยาย และก็ทุกคนที่เป็นญาติพลอยเกลียดผมไปด้วย
เพราะมึงคนเดียวไอ้ภาม ถ้ามึงไม่พาภูมิไปด้วย ภูมิก็คงไม่ตาย!”
ทำไมคนที่ตายไม่เป็นมึงห๊ะไอ้ภาม ทำไมไม่เป็นมึง!”
มึงไม่ใช่ลูกกู กูเกลียดมึง!”
และคำด่าทออีกมากมายจนนับไม่หวาดไม่ไหว แต่ผมก็ยังทนเรื่อยมาไม่มีบ่น หลังจากเดินออกมาแล้วผมก็เดินออกมานอกรั้วบ้านอย่างเงียบๆ ก่อนจะหยุดเดินแล้วนั่งลงกอดเข่าที่ข้างริมธารของหมู่บ้าน นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ผมเดินออกมานอกบ้านแล้วมานั่งที่นี่ แต่หลายครั้งแล้วที่ผมทะเลาะกับคนในบ้านแล้วหนีออกมาที่นี่ ตอนออกมาใหม่ๆ ผมโดนทั้งพ่อทั้งแม่ตบเพราะพวกท่านที่คิดว่าผมจะฆ่าตัวตาย (คนแถวบ้านมาบอกพวกท่านนะครับ) แต่จริงแล้วไม่ใช่ครับ ผมแค่ยืนร้องไห้เฉยๆ ไม่ได้คิดฆ่าตัวตายเลยซักนิด
กูอายชาวบ้าน ฉะนั้นแกห้ามคิดฆ่าตัวตายอีกล่ะ!”
บอกไปก็ไม่มีใครเชื่อ ผมก็เลยปล่อยเลยตามเลย
คิดอะไรอยู่คนเดียวครับน้องภามอยู่ๆก็มีเสียงทุ้มดังขึ้นบนหัว ทำเอาผมเงยหน้าขึ้นก่อนจะเห็นใบหน้าคมแลดูอ่อนโยนกำลังก้มหน้าส่งยิ้มมาให้ผม ซึ่งคนพูดอยู่นี้ไม่ใช่ใครนอกเสียจากพี่ออย พี่ชายข้างบ้านที่ผมเคยเล่นด้วยตั้งแต่เล็ก แล้วนี่ทานข้าวเช้าหรือยังเอ่ย
พี่ออยใจดีจัง
“ทานแล้วฮะพี่ออย” ผมไม่อยากให้พี่ออยเป็นห่วงจึงพูดโกหกไป แต่ดูเหมือนไม่สำเร็จนะครับ เพราะอีกฝ่ายเล่นเดินลงมานั่งข้างกายผมก่อนจะเอาสิ่งที่ซ่อนอยู่ด้านหลังออกมา ซึ่งเป็นข้าวปิ่นโตสี่ชั้นครับ “โธ่พี่ออย หนูบอกแล้วไงว่า...”
“อย่ามาโกหกพี่ พี่รู้หรอกนะว่าเรายังไม่ได้ทานข้าวเช้า” อีกฝ่ายบอกพูดเสียงดุใส่ ก่อนจะแกะปิ่นโตออกมาวางบนพื้นด้านหน้าที่ผมนั่งอยู่ เผยให้เห็นกับข้าวหลายอย่างส่งกลิ่นหอมชวนน้ำลายสอ “มามะ มานั่งทานกับพี่ดีกว่า ดูสิวันนี้พี่อุตส่าห์ตื่นแต่เช้าทำอาหารให้เราทานเองกับมือ เชิญทานได้ตามสบายเลยนะ ไม่ต้องเกรงใจ”
“แต่...”
“แต่อะไรครับน้องภาม หรือน้องอยากจะให้พี่ป้อนล่ะหืม?” ไม่พูดเปล่าเพียงอย่างเดียว ยังก้มหน้ามาใกล้ผมซะชิดจนหน้าผมแทบร้อนผ่าวไปหมดแล้วครับ ฮะๆ พี่ล้อหนูเล่นนะ รีบทานเถอะ เดี๋ยวมันหายร้อนแล้วจะไม่อร่อยนะ
ฮะพี่ออยผมตอบก่อนจะหยิบช้อนตักอาหารเข้าปาก เนื่องจากถูกตบที่แก้ม ทำให้การเคี้ยวอาหารเป็นอะไรที่ยากเหลือเกิน แต่ในขณะที่ผมกำลังเคี้ยวอาหารอยู่นั้น มือหนาก็เข้ามาลูบแก้มผมเบาๆ แน่นอนครับว่าทำเอาผมถึงกับสะดุ้ง เพราะมันยังเจ็บแก้มอยู่นี่ครับ (โดนตบมาหมาดๆเอง)
เจ็บมากหรือเปล่าร่างหนาถามด้วยความเป็นห่วง เพราะเขารู้ดีว่าผมมักจะโดนคุณพ่อคุณแม่ตบตีร่างกายประจำ ก็เล่นส่งเสียงซะดังขนาดนั้น แถมบ้านพี่ออยก็อยู่ติดกับบ้านของผมด้วย มีหรือที่จะไม่ได้ยินนะครับ ซึ่งผมได้แต่ส่ายหน้าให้เป็นคำตอบ ปากแข็ง เจ็บก็บอกว่าเจ็บเถอะ
หนูชินแล้วฮะพี่ออยชินแล้วฮะ โดนตบประจำ ถ้าวันไหนไม่โดนนี่ก็มหัศจรรย์มากแล้วครับ
แต่พี่ไม่ชอบนั่นสินะ ใครจะไปชอบ ถ้าเป็นผม ผมก็คงทนไม่ได้ที่เห็นคนที่ตัวเองรู้จักโดนพ่อแม่ทำร้ายร่างกายได้ทุกวัน เอางี้ ภามย้ายมาอยู่กับพี่ไหมล่ะ
!!!!!!!
พี่ออยพูดล้อหนูเล่นหรือฮะผมถามกลับไปอย่างขำๆ เพราะเขามักจะพูดหยอกล้อผมเล่นเสมอ
พี่ไม่ได้พูดล้อเล่น พี่พูดจริงร่างหนาพูดด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด ก่อนจะจับมือผมขึ้นไปแนบกับริมฝีปากของตัวเอง พี่ทนไม่ได้ที่เห็นภามเจ็บ ทนไม่ได้ที่เห็นภามโดนทำร้ายร่างกายทุกวัน เพราะฉะนั้น…”
เพราะฉะนั้น?
มาเป็นแฟนกับพี่เถอะนะภาม
!!!!!!!

ปล.เปลี่ยนเนื้อเรื่องนิดหน่อยจ้า


อารัมภบท (ภาคพิสดาร)

อารัมภบท

มนุษย์ตัวจ้อยร่อยเอ๋ย เจ้าช่างกล้ามากที่มาเหยียบถึงบ้านของข้า ต้องการอะไรกันแน่ ชีวิตที่เป็นเป็นนิรันดร์หรือความตาย?” เสียงทุ้มเย็นยะเยือกดังขึ้นท่ามกลางปราสาทใหญ่ที่แสนน่ากลัว ร่างสูงใบหน้าคมเข้มดูดุดัน ถึงขั้นหล่อเหลา ผมสีดำยาวในชุดคลุมสีดำที่นั่งไขว้ห้างอยู่บนบัลลังก์ฉีกยิ้มอย่างพอใจที่ได้เห็นร่างในชุดคลุมสีเทาสวมฮู้ตปิดบังใบหน้าที่ยากจะระบุเพศได้กำลังยืนมองตนเองอยู่เบื้องหน้า ซึ่งดูสั่นราวกับกลัวตนเฉกเช่นเดียวกับมนุษย์ทั่วไปที่เคยมาหาถึงที่ ว่ายังไงล่ะ จะตอบคำถามข้าได้รึยัง
อีกฝ่ายไม่ตอบกลับยืนตัวสั่นอยู่เหมือนเดิม
หึ คงจะกลัวจนพูดไม่ออกล่ะสิ
เขานึกขำที่ได้เห็นฉากเดิมๆ เพราะมนุษย์ที่หลงเข้ามาล้วนมีกริยาแบบนี้กันทุกคน ซึ่งมันน่าเบื่อสำหรับเขาไม่ใช่น้อย แต่ก่อนที่เขาจะได้เอ่ยปากถามร่างบางอีกครั้ง น้ำเสียงหวานคล้ายผู้หญิงก็ดังขึ้นแทรกเสียก่อน
ผมไม่ได้ต้องการอะไรทั้งนั้น
ห๊ะ?! ว่ายังไงนะ
ทั้งอมตะทั้งความตายที่คุณเสนอมานั้น... คราวนี้เขาถึงกับวางขาที่เคยไขว้ห้างลงก่อนจะยืดตัวหลังตรงเพื่อฟังที่อีกฝ่ายพูดอีกครั้ง “...ผมไม่ต้องการ มันเป็นสิ่งที่ผมไม่เคยคิดอยู่ในหัวมาก่อน
แล้วเจ้าต้องการอะไรล่ะเจ้ามนุษย์ เงินทอง อำนาจ หรือผู้หญิง? แต่ขอบอกไว้ก่อนนะข้าไม่ใช่ผู้วิเศษที่จะเสกให้เจ้าได้สิ่งที่ต้องการ เพราะข้าคือราชาแวมไพรผู้ยิ่งใหญ่ในดินแดนปีศาจแห่งนี้ ก่อนจะตอบคำถามของข้า ช่วยคิดดูให้ดีเพราะไม่แน่ว่าข้าอาจจะให้รางวัลพิเศษกับเจ้าเป็นการตอบแทนที่ทำให้ข้าหายเบื่อได้ เขาพูดพลางลุกขึ้นยืนแล้วเดินลงบันไดมาหามนุษย์ตัวจิ๋วที่ยืนอยู่เบื้องหน้า ก่อนจะหยุดเดินโดยยืนทิ้งห่างช่วงซักสองสามก้าวเห็นจะได้ ส่วนอีกฝ่ายเมื่อได้ยินที่เขาพูดแล้ว กลับหยุดตัวสั่นลงก่อนจะยกแขนตัวเองขึ้นปัดฮู้ตออก แลเห็นใบหน้าหวานขาวเนียนอมชมพูคล้ายผู้หญิงจ้องมองมาที่เขาด้วยสายตามุ่งมั่นจนแม้กระทั่งเขาเห็นแล้วยังอดชื่นชมเสียมิได้
ไม่เลวเหมือนกันนี่…
แต่แล้วความคิดของเขามีอันต้องเก็บเข้ากรุ เนื่องจากคำตอบที่อีกฝ่ายตอบกลับมา ทำเอาเขาถึงกับตกตะลึงจนอ้าปากค้าง
สิ่งที่ผมต้องการนั้นก็คือคุณ กรุณามาเป็นผัวของผมเถอะนะครับคุณราชาแวมไพรที่รัก!”

ปล.เรื่องนี้ยังไม่บอกว่าจะเขียนต่ออีกเมื่อไหร่ (ไม่รับปากว่าจะเขียนนะคะ) เป็นพล็อตที่ไรท์เตอร์คิดขึ้นมาได้ กลัวจะลืมก็เลยลงไว้ก่อนกันหายนะ อิอิ (กันลืมด้วยแหละ) แต่อะไรก็ไม่แน่ รอนิยายอื่นๆให้จบไปหมดก่อนนะจ้ะ (อาจจะเขียนหรือไม่เขียนก็ได้) อ้อ บอกไว้ก่อนนะว่าตัวละครที่มาใช้ ก็เอามาจากเรื่องโซตัสทวินนี่แหละค่ะ


ตอนพิเศษ

ตอนพิเศษ

หลังจากที่ผมกับรินได้แต่งงานกับคนที่ตัวเองรักแล้ว ก็ถึงเวลาปิดเทอม ผมกับพี่ซีได้มีเวลาอยู่ด้วยกันมากขึ้น ถึงแม้จะต้องไปมาอยู่สองที่ระหว่างบ้านพี่ซีกับบ้านตัวเองก็ตาม แต่ความรักของผมกับพี่ซีก็ไม่มีวันจืดจางลง ไม่ต้องสงสัยหรอกนะครับว่าทำไมผมถึงยังต้องกลับไปนอนที่บ้าน นั่นเป็นเพราะคุณพ่อคุณแม่ยังเห็นว่าผมยังเด็ก เรียนหนังสือยังไม่จบ ให้อยู่แบบนี้ไปก่อน (ผมว่ามันก็ดีไปอย่างนะครับ จะได้กลับมาดูแลคุณพ่อคุณแม่) ซึ่งพี่ซีก็ไม่ขัดข้อง ส่วนเรื่องของรินกับบอยนั้นก็คล้ายกับผม คือไปมาอยู่สองบ้านระหว่างบ้านตัวเองกับบ้านบอยครับ และนอกจากนี้การแต่งงานของพวกผมทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างสามครอบครัว (พี่ซี ผม บอย) ผูกพันธุ์แน่นแฟ้นกันมากยิ่งขึ้น (พูดง่ายๆคือเหล่าคุณพ่อชอบมานั่งดื่มเหล้าคุยสนทนาที่บ้านผมกันเกือบทุกวัน) แต่สุดท้ายก็โดนคุณแม่ผมกับคุณแม่พี่ซีตวาดว่าให้เพลาเรื่องเหล้า ก็เลยทำให้เหล่าคุณพ่อสามหน่อต้องงดไปโดยปริยาย และหันมาดื่มน้ำชาแก่ๆแทน (ฮา)
พี่ซีครับ ผมมีเรื่องจะพูดด้วย หลังจากปรึกษาหารือกับรินดูแล้วว่าผมต้องพูดให้นะครับ
ว่ายังไงครับที่รัก มีเรื่องอะไรจะคุยกับพี่เหรอ หลังแต่งงานพี่ซีใช้คำสรรพนามในการแทนตัวเองว่าพี่ ทำเอาผมรู้สึกแปลกๆ เพราะยังไม่ชินเท่าที่ควร
คือผมคุยกับรินดูแล้วว่า...
ว่า?
อยากจะชวนพี่ซีกับบอยไปกราบไหว้คุณพ่อคุณแม่ที่แท้จริงของผมกับรินนะครับ พอผมพูดจบ ร่างสูงถึงกับนิ่งเงียบ แต่ถ้าพี่ซีไม่อยากไป ก็ไม่ต้องไป...
พี่อยากไปครับพี่ซีตอบทันควัน
พี่ซีแน่ใจแล้วเหรอครับว่าอยากไปผมถามอย่างลังเล เพราะไม่มีแฟนคนไหนอยากจะไปหาพ่อแม่ที่ทำร้ายคนรักของตัวเองได้ลงคอหรอก
แน่ใจสิครับพี่ซียิ้มตอบก่อนจะพูดต่อ เพราะพี่อยากจะไปแนะนำตัวเองให้คุณพ่อคุณแม่ของที่รักให้รู้จักในฐานะสามีของลูกชายเขายังไงล่ะครับ
สิ้นคำตอบของพี่ซี ทำเอาผมถึงกับหน้าร้อนผ่าวทันที
แล้วนี่น้องรินได้ไปคุยกับน้องบอยแล้วรึยังครับที่รัก
คุยแล้วครับพี่ซี บอยบอกว่าตกลงจะไปด้วย
ดีล่ะ งั้นไปพร้อมกันพรุ่งนี้เลยนะ
ครับพี่ซี

รุ่งเช้าวันถัดมาผมก็ลุกขึ้นมาจัดเตรียมอาหารไปกินเผื่อกลางวันสำหรับทุกคน เพราะไม่อยากเปลืองเงินไปหาซื้ออะไรกินตามข้างทาง แถมนอกจากนี้กลัวไม่สะอาดด้วยครับ
“ไม่ทำเยอะไปหน่อยเหรอเรน” เสียงรินดังเจื้อยแจ้ว ทำเอาผมที่กำลังเอาข้าวใส่ปิ่นโตชะงักก่อนจะเงยหน้าขึ้นไปมองน้องชายฝาแฝด ซึ่งเจ้าตัวยังอยู่ในชุดนอนอยู่ “เดี๋ยวก็กินไม่หมดหรอก”
“หมดแน่ รินลืมแล้วเหรอว่าบอยมันทานข้าวเยอะมากแค่ไหน ยิ่งพี่ซีอีก”
“หึ ไม่เยอะหรอก เรนตั้งหากที่ทานน้อยกว่าชาวบ้าน”
“ไม่ต้องพูดมาก รีบไปอาบน้ำแต่งตัวเข้า ชักช้าเดี๋ยวไม่พาไปด้วยเลยนี่” ผมพูดขู่ไปงั้นแหละ “อ้อ แล้วก็อย่าลืมปลุกไอ้บอยด้วยล่ะ รายนี้ยิ่งตื่นสายกว่าชาวบ้าน”
“จ้าๆ ใครจะไปเหมือนสุดที่รักของเรนได้ล่ะ ตื่นแต่เช้าตรู่ หึๆ ไปล่ะๆไม่แซวแล้ว” รินรีบจ้ำเท้าเดินออกไปจากห้องครัวเพราะเห็นผมทำท่าหยิบมีดขึ้นมาจะขู่ ไม่ต้องสงสัยหรอกนะครับว่าตอนนี้พวกผมอยู่ที่ไหน บ้านของผมกับรินเองครับ สองสามวันนี้คุณพ่อคุณแม่ไม่อยู่ ออกไปฮันนีมูนด้วยกันทั้งคู่ ก็เลยทำให้พี่ซีกับไอ้บอยต้องมานอนอยู่บ้านนี้พร้อมหน้าพร้อมตากัน (หลังจากแต่งงาน ผมกับรินแทบจะไม่ได้นอนด้วยพร้อมกันอีก เพราะต่างคนต่างไปนอนกับคนที่ตัวเองรัก) พอเห็นว่ารินไปแล้วผมก็หันมาจัดการอาหารใส่ปิ่นโตต่อ แต่แล้วมีอันต้องสะดุ้งตกใจเมื่ออยู่ๆมีก็มือหนาเข้ามาโอบเอวผมอย่างแนบแน่น
“เมื่อครู่นี้คุยกับรินเหรอครับที่รัก เสียงดังไปถึงห้องนอนเชียว”
“โธ่พี่ซีก็ มาไม่ให้ซุ่มให้เสียง ผมตกใจหมดเลย” ผมพูดพลางถอนหายใจ “ก็ไม่มีอะไรมากหรอกครับพี่ซี รินก็แค่เข้ามาถามผมเรื่องปริมาณอาหาร ว่าแต่พี่ซีเก็บเสื้อผ้าเสร็จแล้วใช่ไหมครับ ผมจะได้หอบปิ่นโตนี่ขึ้นรถไปเลยพร้อมกันทีเดียว”
ไม่ต้องสงสัยหรอกครับว่าทำไมถึงต้องหอบเสื้อผ้าขึ้นรถไปด้วย นั่นก็เป็นเพราะว่าพี่ซีได้เอ่ยปากชวนพวกผมไปเล่นน้ำทะเลหลังจากไปกราบไหว้คุณพ่อคุณแม่เสร็จนะครับ ก็เลยต้องเตรียมชุดไปให้พร้อมอย่างที่เห็น
“ครับ เรียบร้อยแล้วครับ” แล้วพี่ซีก็อาสาหอบปิ่นโตกับกระเป๋าเสื้อผ้าขึ้นรถให้ผม จนกระทั่งบอยกับรินเดินลงมาพร้อมกับกระเป๋า ก็เอาขึ้นรถพร้อมกันก่อนจะปิดล็อกบ้านด้วยกุญแจเรียบร้อย แล้วพากันนั่งรถออกไปทันที

การไปกราบไหว้เยี่ยมพ่อแม่ที่สุสานในต่างจังหวัดนั้นผม ริน และคุณพ่อคุณแม่บุญธรรมเคยไปมากันอยู่หลายครั้งแล้ว (ไปครั้งแรกผมกับรินแทบไม่กล้าเข้าใกล้สุสานเพราะเอาแต่ร้องไห้ด้วยความกลัวครับ) แต่พอโตขึ้น ความคิดก็เปลี่ยน จากที่เคยกลัวภาพของผู้เป็นบิดามารดาก็หายไปเป็นปลิดทิ้ง เพราะถูกพ่อแม่บุญธรรมเติมคำว่ารักไปจนเต็ม แต่พักหลังๆผมกับรินยุ่งกับการเอนทรานซ์เข้ามหาวิทยาลัย ก็เลยไม่ได้ไปไหว้คุณพ่อแม่อย่างที่เคยทำทุกปี ขามาพวกผมไม่ได้ทานข้าวเช้ามาก่อนครับ ดื่มแค่นมกับแซนวิชนิดหน่อยไม่มาก ก็เลยทำให้พวกผมต้องจอดแวะที่ปั้มลงไปซื้อขนมมาทานรองท้องแก้หิวไปพลางๆก่อน พอถึงที่หมายทุกคนก็พากันลงจากรถพร้อมกัน
“แน่ใจนะรินว่าใช่ที่นี่นะ” บอยถามอย่างไม่แน่ใจหลังจากเหล่ซ้ายมองขวาดูพื้นที่วัดขนาดเล็ก
“แน่ใจสิ” รินตอบก่อนจะเดินมาจับมือผมอย่างแนบแน่น ถึงแม้พวกผมสองคนจะหลงลืมกับสิ่งที่พ่อแม่ที่แท้จริงเคยทำอะไรไว้กับพวกผมไปแล้วก็ตาม แต่ลึกๆแล้วก็ยังมีความกลัวฝังอยู่ไม่หาย “ที่นี่แหละ วัดที่คุณพ่อคุณแม่นอนอยู่ สุสานจะตั้งอยู่หลังวัดแห่งนี้นะ”
“เหรอ แต่ทำไมดู...”
“เล็ก เสื่อมโสม แบบนี้ใช่ไหมล่ะ” ผมพูดตอบคำถามแทนริน เพราะถ้าเป็นรินคงจะตอบไม่ได้ “ตอนที่ฉันกับรินยังอยู่กับพ่อแม่ พวกท่านสองคนค่อนข้างมีฐานะค่อนข้างจะยากจน ญาติพี่น้องก็ไม่มี พอตายไปก็กลายเป็นศพอนาถา ส่วนพวกฉันสองคนก็เลยต้องกลายเป็นเด็กกำพร้า พอไม่มีคนเลี้ยงดู ก็ถูกตำรวจส่งไปสถานเด็กกำพร้า แต่นี่โชคยังดีที่คุณพ่อคุณแม่ไม่มีลูก ก็เลย...”
“พอเถอะครับที่รัก ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว” พี่ซีพูดก่อนจะเดินเข้ามาเช็ดน้ำตาให้กับผม ซึ่งไม่รู้ว่ามันไหลลงมาอาบแก้มตั้งแต่ตอนไหนก็ไม่ทราบครับ ส่วนรินไม่ต้องพูดถึง โดนบอยดึงมือออกจากผมเข้าไปซบอกร้องไห้เสียงสะอื้นแล้ว พี่ซีกับบอยปล่อยให้ผมกับรินยืนร้องไห้อยู่ซักพักก่อนจะพากันเดินเข้าไปข้างใน โดยภายในวัดมีเพียงสามเณรไม่กี่รูปกำลังยืนกวาดพื้นอยู่ ผมกับรินพาพี่ซีกับบอยเดินเข้ายังกุฏิแห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นเพียงแค่อาคารไม้เก่าแก่เพียงชั้นเดียว และภายในกุฏิมีหลวงพ่อกำลังนั่งดื่มน้ำชาอยู่อย่างเงียบๆ พวกผมจึงเดินคลานเข้าไปนั่งพับเพียบเรียบร้อยเลยครับ
“ไม่ได้เจอพวกโยมนาน ยังสบายดีอยู่ใช่ไหม” หลวงพ่อเงยหน้าถามหลังจากวางถ้วยชาลงข้างตัว ทำเอาผมกับรินยกมือขึ้นพนมตอบกลับไปว่า
“ครับ พวกผมสบายดี หลวงพ่อไม่ต้องเป็นห่วงครับ”
“หึ ดีแล้วที่สบายดี อาตมาก็ค่อยหายห่วงหน่อย”
“นี่เรน นายรู้จักกับหลวงพ่อที่นี่ด้วยเหรอ” บอยหันมากระซิบถามผมเสียงเบา
“รู้จักสิ ก็พวกฉันมาทำบุญให้พ่อแม่ทุกปีนี่”
“แล้ว...”
“ถ้าโยมอยากรู้เรื่องอะไร ก็ให้มาถามอาตมาได้ เพราะตอนนั้นโยมเรนยังเล็กไม่ค่อยรู้เรื่องอะไรนักหรอก” หลวงพ่อพูดสวนขึ้นมา ทำเอาบอยต้องหันกลับมานั่งสงบเสงี่ยมตามเดิม “แต่ก่อนจะถามอาตมาว่าพวกโยมทำบุญสังฆทานก่อนดีกว่าไหม”
“ครับหลวงพ่อ”
แล้วพวกผมก็เอาถังสังฆทานที่ได้จัดเตรียมมาตั้งแต่บ้านวาง ก่อนจะพนมมือขึ้นสวดมนต์ตามหลวงพ่อพูด จนทุกอย่างเรียบร้อยแล้วพี่ซีก็นำน้ำที่กรวดแผ่ส่วนบุญกุศลไปรดลงพื้นใต้ต้นไม้ก่อนจะเดินกลับเข้ามานั่งที่ตามเดิม
“เอาล่ะ โยมมีเรื่องอะไรจะถามก็ถามมาได้เลย” บอยถึงกับหัวเราะแห้งๆ เพราะรู้สึกเขินที่ถูกหลวงพ่อแซว “แต่อาตมาจะบอกได้แค่บางเรื่องเท่านั้น เพราะบางเรื่องเป็นเรื่องที่โยมไม่สมควรรู้”
“ครับหลวงพ่อ คือผมอยากจะทราบว่าหลวงพ่อรู้จักกับเพื่อนผมได้ยังไงครับ”
“เอ้าบอย เรนบอกไปแล้วยังจะไปถามหลวงพ่อท่านซ้ำได้อีกนะ” ผมอยากจะมะเหงกหัวบอยด้วยความหมั่นไส้ ถามอะไรไม่ถาม ดันถามเรื่องถามกับผมไปแล้วเนี่ยสิ “หลวงพ่ออย่าไปตอบเลยครับ เพื่อนผมมันติงต๊องครับ”
“หึๆ ไม่เป็นไรหรอกโยมเรน อาตมาไม่ถือ” แต่บอยก็ไม่ได้ถามตามที่ตั้งใจเอาไว้ครับ พวกผมคุยกับหลวงพ่ออยู่สองสามประโยคก่อนจะบอกลาหลวงพ่อเพื่อไปไหว้คุณพ่อคุณแม่ต่อ แต่ก่อนไปหลวงพ่อได้ฝากคำพูดไว้กับพวกผมว่า อะไรที่มันผ่านไปแล้ว ก็ปล่อยผ่านมันไป กลับไปแก้ไขไม่ได้อีก จงอย่าได้เสียใจ เพราะพวกเขาทำบุญร่วมกับพวกเธอมาน้อยเกินไป
ถึงผมไม่ถามก็พอเดาออกครับว่าที่หลวงพ่อพูดมานั้นหมายถึงอะไร

หลังจากที่พวกผมทำบุญสังฆทานกันเสร็จ ที่รักของผมกับน้องรินก็พาผมกับบอยเดินนำไปยังสุสาน ซึ่งอยู่หลังวัดไม่ใกล้ไม่ไกลซักเท่าไหร่ มันเป็นกำแพงที่ถูกแปะด้วยรูปภาพของผู้เสียชีวิตพร้อมกับชื่อวันเกิด และวันตาย พอเฉียดเข้าใกล้กำแพง ทั้งเรนทั้งรินต่างหยุดชะงักเดินไปอย่างหน้าตาเฉย ทำเอาผมกับบอยหันมามองหน้ากัน
สงสัยยังกลัวพ่อแม่ตัวเองอยู่มั้ง
“ไม่ต้องกลัวครับไม่ต้องกลัว” ผมพูดปลอบใจ ในขณะที่น้องบอยก็จับมือตบไหล่คนรักตัวเองเบาๆ
“เปล่าครับพี่ซี ผมกับรินไม่ได้กลัว”
“ใช่แล้ว รินก็ไม่ได้กลัว”
“อ้าวแล้วพวกมึงสองคนหยุดเดินทำไมล่ะ” น้องบอยถามด้วยความสงสัย ซึ่งทั้งคู่ต่างให้คำตอบผมกับบอยด้วยการชี้นิ้วไปยังจุดหนึ่ง ซึ่งอยู่ด้านหน้าของตัวเอง ครั้นพอผมกับบอยหันไปดูก็พบว่าเป็นแมวสีดำกำลังนั่งอยู่ด้านหน้าพวกเรา“โธ่ ไอ้เราก็นึกว่าอะไร แมวดำนี่เอง”
แมวดำ?!
จะว่าไปตอนเข้าค่ายผมก็ได้เจอแมวดำเหมือนกัน ตอนนั้นมันช่วยผมได้พบเจอกับน้องเรนที่นอนสลบอยู่ใต้เชิงหน้าผา ผมหรี่ตามองด้วยความสงสัยก่อนจะส่ายหน้าให้กับตัวเอง ซึ่งมันเป็นไปไม่ได้ที่แมวสีดำตัวนั้นจะมาปรากฏตัวอยู่ที่นี่ได้ เพราะที่น้ำตกกับที่นี่มันห่างกันเป็นโยชน์ครับ
“พี่ซีเป็นอะไรไปครับ ทำหน้าเครียดเชียว ไม่สบายหรือเปล่าครับ”
“เปล่าครับที่รัก พี่สบายดี” ผมยิ้มตอบให้กับคนรัก “พี่ว่าพวกเราไปกราบไหว้คุณพ่อคุณแม่เถอะ”
“ครับ” พอพวกผมเดินหลบแมวมาอีกทาง มันกลับเดินตามพวกผมมาต้อยๆ ราวกับเดินตามเจ้านายยังไงยังงั้นแหละครับ แต่พวกผมไม่สน มันจะเดินตามมายังไงก็ช่าง (ดูเหมือนน้องรินจะสนนะครับ เห็นชอบหันไปมองตลอดเวลา) พอมาถึงที่เก็บอัฐิ น้องเรนกับน้องรินก็หยุดเดิน ทำให้ผมกับบอยได้เห็นรูปภาพของพ่อแม่ที่แท้จริงของทั้งคู่ ซึ่งแลเห็นใบหน้าละม้ายคล้ายน้องเรนน้องรินไม่ผิด (ก็เป็นพ่อแม่นี่นะ) แต่ผิดตรงที่ใบหน้าของทั้งคู่ดูดุดันเย็นชา และน่ากลัว หลังจากยืนได้สักพัก น้องเรนกับน้องรินก็จุดธูปไหว้พ่อแม่ตัวเอง ก่อนจะส่งให้ผมกับบอยให้ได้ไหว้บ้างครับ ผมขอโทษนะครับคุณพ่อคุณแม่ที่ผมกับรินไม่ได้มาหาตั้งหนึ่งปี ผมกับรินสบายดีครับ คุณพ่อคุณแม่ไม่ต้องเป็นห่วง”
“ใช่แล้วฮะคุณพ่อคุณแม่ ผมกับเรนสบายดี กินอิ่มนอนหลับสบาย”
ดูท่าทั้งคู่จะรักคุณพ่อคุณแม่มาก ขนาดพวกท่านทำร้ายพวกเขาจนทิ้งรอยบาดแผลไว้ให้เป็นต่างหน้า ก็ไม่เคยคิดที่จะโกรธหรือรังเกียจพวกท่านแม้แต่น้อย
“อ้อ คุณพ่อคุณแม่ครับ พวกผมมาครั้งนี้ไม่ได้มามือเปล่าด้วยนะครับ ผมกับน้องริน...เอ่อ” เรนพูดด้วยน้ำเสียงกระท่อนกระแท่น ใบหน้าแดงก่ำราวกับมะเขือเทศ มือไม้บิดเสื้อไปบิดเสื้อมาจนผมนึกเป็นห่วงกลัวเสื้อมันจะขาดไปเสียก่อน “...พาแฟน เอ้ย สามีมาด้วยครับ อ๊าย พูดแล้วเขินจัง”
รู้แล้วครับว่าเขิน แต่ก่อนอื่นช่วยดึงเสื้อลงมาก่อนด้วยครับเมีย เดี๋ยวไอ้บอยเห็นหมดหรอก
หึๆ
หึพ่องมึงไอ้บอย เลิกหัวเราะพี่กูได้แล้ว
ก็พี่มึงตลกดีนี่หว่ามันยังขำเมียผมไม่เลิก จนผมนึกอยากตบหัวมันโทษฐานหัวเราะเยาะเมียผม
พี่ซี พี่มาแนะนำตัวให้คุณพ่อคุณแม่รู้จักสิครับ
ครับๆผมตอบก่อนจะเดินเข้าไปยืนอยู่ข้างๆคนรัก ผมชื่อซี เป็นสามีของเรนลูกชายคุณ ผมจะดูแลลูกชายของคุณไม่ให้เจ็บไข้ได้ป่วย ฉะนั้นอย่าได้เป็นห่วงเลยนะครับ หลับให้สบาย อ้อ แล้วก็ขอฝากเนื้อฝากตัวด้วยครับ
แค่นี้?
ครับแค่นี้ผมยิ้มกรุ่มกริ่มตอบ หรือที่รักอยากจะให้ผมพูดมากกว่านี้ล่ะครับ
ไม่ล่ะครับ แฮะๆ
แล้วก็ถึงตาของน้องบอย ซึ่งมันแนะนำตัวได้เก๋ไก๋มาก เก๋ไก๋จนน้องรินถึงกับตบหัวด้วยความหมั่นไส้ ‘ผมเป็นผัวของรินลูกชายคุณ ผมจะดูแลลูกคุณเป็นอย่างดี อ้อ ไม่ต้องเข้าฝันขอบคุณผมนะครับ เพราะผมไม่ชอบ แต่ถ้าเข้าฝันมาบอกหวยยังพอว่า’
นี่แหละครับที่สมควรโดนตบ

หลังจากกราบไหว้คุณพ่อคุณแม่เสร็จพวกผมก็ขึ้นรถเตรียมไปว่ายน้ำที่ทะเลต่อครับ ขากลับแมวดำที่น่าจะไปตามวิถีชีวิตของมันไป แต่มันกลับเดินตามพวกผมต้อยๆไม่ห่างจนรินเห็นแล้วอ้อนพวกผมว่าจะขอมันกลับไปเลี้ยงที่บ้าน
“ไม่ได้นะริน มันเป็นแมวป่า” ผมบอกก่อนจะตามด้วยเหตุผล “แล้วอีกอย่างพวกเราสองคนแพ้ขนสัตว์ ขืนเอามาไว้ในรถด้วย เดี๋ยวก็ได้เข้าโรงพยาบาลแทนที่จะได้ไปว่ายน้ำหรอก”
“แต่รินอยากได้”
“รินอย่างอแง” ผมพูดเสียงดุใส่ก่อนจะหันไปทางไอ้บอย “บอยมาช่วยพูดหน่อยสิ”
“อืมได้”
สรุปกว่าบอยจะพูดกล่อมไม่ให้รินเอาแมวไปได้ก็นานพอสมควร แต่ตอนขึ้นรถผมเห็นแมวดำคล้ายจะยืนส่งพวกเรา พอรถออกตัว ผมหันไปมองมันอีกที แมวดำตัวนั้นก็หายไปแล้วครับ

โอ้ทะเลแสนงาม
ฟ้าสีครามสดใส
มองเห็นเรือใบ
แล่นอยู่ในทะเล
ตอนนี้พวกผมอยู่ชายหาดทะเลแล้วครับ พอมาถึงบอยก็ปูเสื่อลงบนหาดทราย ตามด้วยผมที่ขนปิ่นโตออกมาจากรถ (มีพี่ซีกับรินคอยช่วยหอบปิ่นโตออกมาด้วยครับ)
เรน รินขอไปเล่นน้ำทะเลก่อนนะ
ไม่ได้ ต้องทานข้าวก่อน นี่กลางวันแล้ว ไม่ทานเดี๋ยวก็เป็นลมหรอกผมบอก ซึ่งรินก็ยอมมานั่งลงทานข้าวแต่โดยดีครับ แล้วพวกผมก็นั่งทานด้วยกันไปคุยไปอย่างสนุกสนานดีหรอกนะครับ ถ้าไม่มีกลุ่มสาวๆใส่ชุดว่ายน้ำทูพีชมาขอถ่ายรูปพี่ซีกับไอ้บอยนะ
มาถ่ายรูปด้วยกันนะคะไม่เพียงเอ่ยปากขอ ยังเอาหน้าอกไปเบียดแขนพี่ซีจนผมได้แต่ส่ายหน้าไปมา ไม่ไหวครับ ผู้หญิงสมัยนี้ ไม่รู้จะแรงไปถึงไหนกัน ส่วนทางด้านบอยก็โดนเหมือนกับพี่ซีครับ
ขอโทษครับ พวกผมกำลังทานข้าวอยู่พี่ซีพูดปฏิเสธเสียงเรียบ
นะคะ ถ่ายรูปกันหน่อย ข้าวนะค่อยทานทีหลังก็ได้ อยู่ๆสาวคนนั้นก็หันมาทางผมกับรินครับ เดี๋ยวพี่ขอตัวพี่ชายพวกเธอไปถ่ายรูปด้วยคงไม่ว่ากันนะจ้ะ
พี่ชายหรือ?
พี่ซียังพอว่า เพราะดูเป็นผู้ใหญ่กว่า แต่กับบอยมันไม่ใช่เลย เอ้ย ประเด็นมันไม่ใช่ตรงนั้น พี่สาวครับ พวกเขาไม่ใช่พี่ชายผม แต่เป็นสามีของพวกผมครับ
อันนี้แล้วแต่เขาครับ ผมไม่เกี่ยวผมตอบเสียงห้วน ก่อนจะลุกขึ้นยืนแล้วเดินหนีออกมาจากตรงนั้นเลยครับ ไม่ไหวแล้ว ทนดูไม่ไหว ยัยนั่นก็เบียดผัวผมได้ดีจังนะ ส่วนพี่ซีก็นั่งเฉยให้ยัยนั่นเอาหน้าอกเบียดอยู่นั่นแหละ ไม่รู้ว่ารินทนดูไอ้บอยโดนพวกผู้หญิงมาเกาะแกะได้ยังไงครับ ผมเดินออกมาได้ซักพักก็โดนมือหนาสวมกอดเอวเอาไว้ ทำเอาผมที่กำลังจะก้าวเท้าเดินหน้าถึงกับหยุดชะงักครับ
หึงพี่เหรอครับที่รัก
หึงบ้าอะไรพี่ ผมเปล่าผมพูดไปดิ้นไปพลาง ปล่อยผมสิ บอกให้ปล่อยไง
ไม่ปล่อยครับ ขืนปล่อยเดี๋ยวคนหึงจะเข้าใจผิดไปกันใหญ่
ผมไม่ได้…”
หึง ที่รักกำลังหึงผมครับพี่ซีก้มหน้าพูดเสียงกระซิบที่ข้างหูผม ที่ผมอยู่เฉยให้พวกผู้หญิงกอดแขนก็เพราะอยากจะรู้ว่าคุณจะทำยังไงต่อ แต่ไม่คิดว่าคุณจะเดินหนีออกมานะครับที่รัก หึๆ ผิดกับน้องชายของคุณลิบลับเลย
ผิดยังไง รินไปทำอะไรงั้นเหรอครับพี่ซีผมถามกลับด้วยความสงสัย
หึๆ รายนั้นก็แย่งบอยกลับมาจูบต่อหน้าต่อตาแล้วบอกพวกผู้หญิงไปว่าเขาเป็นผัวตัวเองสิครับ
โอ้แม่เจ้า รินกล้าทำแบบนั้นได้ไงเนี่ย!
แล้วพี่เดินออกมาแบบนี้พวกผู้หญิงก็อดถ่ายรูปพี่ซีสิครับงอนครับงอน รู้อยู่ว่าพี่ซีแกล้งผม แต่ผมไม่ชอบให้ใครมาเกาะแกะพี่ซีนี่ครับ
ฟอด!
พี่ซี!!” ผมร้องเสียงแหววเมื่อถูกร่างหนาหอมแก้มอย่างแรง
อดถ่ายก็อดไปสิครับ พี่ไม่ได้อยากถ่ายรูปกับเขาด้วยนี่พี่ซีตอบ ก่อนจะสวมกอดผมแน่นขึ้น คนที่พี่อยากจะถ่ายรูปด้วยก็คือคุณคนเดียวนะครับที่รัก
เดี๋ยวพวกเขาก็ตามมาอยู่ดีนั่นแหละ
ไม่ตามครับ เพราะพี่บอกพวกเขาไปแล้วว่าพี่ไม่ถ่ายรูป จะถ่ายกับเมียคนเดียว
!!!!!
พวกเขาก็สงสัยพี่นะครับว่าเมียของพี่เป็นใคร พี่ก็เลยตอบไปว่า เมียของพี่ก็คือคนที่ลุกขึ้นเดินหนีไปเมื่อครู่นี้
!!!!!
“แต่ตอนนี้พี่ไม่อยากถ่ายรูปที่รักแล้ว อยากจะอุ้มเมียลงทะเลมากกว่า หึๆ”
!!!!!

“อย่าเดินหนีกูสิครับเจ้าหญิงน้อย”
“ไม่” ผมตอบเสียงแข็งพลางก้าวเท้าเดินหนีมันครับ ทีแรกผมตั้งใจจูบโชว์ยัยพวกนั้นให้รู้ว่าใครเป็นเจ้าของไอ้บอยกันแน่ แต่ไปมาผมกลับถูกมันจูบแบบดีพลึกเสียจนพวกผู้หญิงหน้าแดงกันไปทั้งแถว “เพราะมึงคนเดียวไอ้บอย ฮึ่มๆ”
“ก็แล้วใครกันล่ะที่เริ่มก่อนครับเมีย หึๆ อย่างอนเลยน่า ดูอย่างเรนกับพี่ซีสิ พวกเขายังไม่อายเลย” ผมได้ยินที่บอยพูดก็หันไปมองตามที่มันชี้ ก่อนจะเห็นพี่ซีกำลังอุ้มเรนที่กอดคอคนรักพาวิ่งลงทะเลกรีดเสียงร้องอย่างสนุกสนานแบบไม่อายใคร
กรี๊ดดด!!”
ฮะ…ฮะ…ฮะ!”
เอ่อ พี่ซี เรน เล่นสนุกกันแบบนี้เลยเหรอครับ
หมับ!
ฮะ…เฮ้ย?!” ผมร้องอุทานด้วยความตกใจเมื่ออยู่ๆก็โดนไอ้บอยอุ้มครับ ไอ้ผมตกใจกลัวจะตกก็เลยคว้าคอมันแน่นเลย มึงจะทำอะไรกูไอ้บอย
มันทำหน้ายิ้มเจ้าเล่ห์จนผมมองแล้วรู้สึกเสียววูบอย่างบอกไม่ถูก
ก็จะทำแบบเดียวกับพี่ซียังไงล่ะหึๆ
อ้ากกกกไม่นะไอ้บอยยยย!!!”
ผมขอจบการเล่าเรื่องแต่เพียงเท่านี้นะครับ เพราะโดนไอ้บอยอุ้มวิ่งลงน้ำทะเลเหมือนพวกพี่ซีแล้ว


ตอนที่ 50 แล้วเราจะรักกันตลอดไป

ตอนที่ 50 แล้วเราจะรักกันตลอดไป

ก๊อก ก๊อก
เสียงประตูถูกเคาะสองที ทำเอาผมที่กำลังนั่งอ่านรายงานการประชุมถึงกับเงยหน้ามุ่นคิ้ว เพราะถ้าเป็นเลขาของผม เขาจะรู้ว่าเวลานี้เป็นเวลาที่ผมกำลังทำอะไร และผมก็เคยสั่งไว้ว่าถ้ามีคนมาหาให้นั่งรอไปก่อน ซึ่งผมยังไม่ทันจะได้ถามเลขาว่ามีธุระอะไร ประตูก็เปิดออกอ้า แลเห็นใบหน้าลูกชายตัวแสบเดินเข้ามา
ตอนนี้เป็นเวลางานของพ่อ มีธุระอะไร…ผมแทบอ้าปากค้างเมื่อเห็นคนเดินเข้ามาในห้อง เพราะสองคนแรกที่เดินตามหลังลูกชายผมเป็นพ่อแม่ของคู่แฝด ซึ่งเป็นเพื่อนของผมสมัยมัธยม แต่กับอีกคนกลับ เป็นคนๆหนึ่งที่ผมแทบไม่ได้เห็นมานาน (ไม่นับรวมเด็กๆที่ผมเคยเห็นหน้าพวกเขามาก่อนแล้ว) กำลังเดินเข้ามาในห้อง “…มึง ไอ้บ้างาน!”
ผมลุกขึ้นชี้นิ้วตวาดร่างสูงที่ยืนอยู่ข้างเด็กหนุ่มที่ชื่อว่าบอย ส่วนอีกฝ่ายก็ทำท่าตกใจนิดหน่อยเมื่อเห็นหน้าผมเหมือนกัน
อะฮ้า ที่แท้พ่อของเธอก็คือไอ้แก่หัวโบราณนี่เองหรอกรึ หึๆ
รู้จักกันด้วยเหรอครับลูกชายผมถามด้วยความสงสัย
ใช่แล้ว เรารู้จักกันไอ้บ้างานพูดยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ เพราะฉันกับพ่อของเธอเราเคยเป็นเพื่อนสนิทที่รักกันม๊ากมากตั้งแต่สมัยประถมแล้ว แต่พอจบชั้นประถมฉันก็ต้องย้ายไปเรียนที่ต่างประเทศ ก็เลยไม่ได้เจอกันตั้งแต่ตอนนั้น จะว่าไปได้เจอกันทั้งที มาประเดิมของเก่ากันซักตั้งหน่อยไหมไอ้แก่
ว่าแล้วอีกฝ่ายก็ถอดเสื้อคลุมออก ทำเอาผมถึงกับร้องห้ามไปทันที
ไอ้บ้างาน เราก็อายุไม่ใช่น้อยๆ ยังจะมาเล่นอะไรกันอีก ไม่เอานะเว้ย!”
หรือว่ามึงป๊อดไอ้แก่ หึๆ
!!!!!!!
กูไม่ได้ป๊อด!ผมถึงกับฉุนขาดพลางถอดเสื้อสูทตัวนอกที่สวมใส่ออก ก่อนจะดึงสายเนกไทออกนิดหน่อยเพื่อให้หายใจสะดวก มึงท้าเองนะไอ้บ้างาน ถ้าแพ้กูล่ะก็ มึงต้องโดนเตะแน่
เออ ขอให้มันจริงเถอะ แต่ถ้ามึงแพ้ มึงต้องยอมรับลูกสะใภ้ด้วยล่ะ
กึก
คำพูดของมันทำเอาผมถึงกับชะงัก
มันเกี่ยวอะไรกับเรื่องนั้นด้วยวะ!”
เกี่ยวสิ เกี่ยวมากๆเลยด้วยไอ้บ้างานพูดบิดไม้บิดมือ ที่กูมาก็เพื่อการนี้ เพราะมึงหัวโบราณมากไปไง กูถึงต้องมาจัดการเอง ไม่งั้นพวกเด็กๆคงไม่สบายใจ
ไอ้บอยรีบห้ามพ่อมึงสิเสียงคนรักลูกชายผมบอกเพื่อนตัวเอง
ไม่เด็กที่ชื่อบอยตอบปฏิเสธ ยืนกอดอกยิ้มกริ่ม กูอยากเห็นว่าพวกเขาจะเล่นกันยังไง
พี่ซี
ถ้าร้ายแรงถึงขั้นเลือดออก ผมก็จะเข้าไปห้ามครับที่รัก ดูเหมือนลูกชายตัวแสบอยากจะดูผมกับไอ้บ้างานลงไม้ลงมือกันเต็มแก่แล้วครับ
ไม่ต้องพูดแล้วล่ะเรน รินอยากเห็นน้องชายที่เป็นแฝดพูดเสียงตื่นเต้น
ใช่แล้วจ้ะลูกเรน ถ้าเลือดออกแม่ก็จะไปซ้ำ เอ้ย ไม่ใช่ จะไปห้ามทันที
พ่อเองก็เหมือนกัน หึๆ
ดูเพื่อนสมัยมัธยมผมพูดสิครับ เฮ้อ แสบกันทั้งผัวทั้งเมีย

เริ่มหรือยังไอ้บ้างาน
หึ รอนานอยู่แล้วล่ะไอ้แก่หัวโบราณ
งั้นมัวรออะไรอยู่ล่ะ
นั่นสิ
ย๊าก!”
ย๊าก!”
ปึก! ปึก!
เสียงคนโดนทุบหัวดังสองครั้ง ก่อนจะตามด้วยเสียงหวานแผดดังลั่น
พอเลยทั้งไอ้แก่ทั้งไอ้บ้างาน โตจนป่านนี้แล้วยังเล่นเป็นเด็กไปได้ อายเด็กเขาบ้างสิยะไม่ต้องสงสัยว่าเสียงนี้ใครพูด เป็นคุณแม่ของพี่ซีเองครับ ท่านเข้ามาตอนที่คุณพ่อพี่ซีกับคุณพ่อบอยกำลังเล่นมวยปล้ำ หึๆ มวยปล้ำจริงครับ ต่างผลัดกันทุ่มผลัดกันเตะ ทำเอาห้องทำงานเกือบพังเลยครับ ข้าวของกระจัดกระจายจนเละไปหมด ตอนนี้ก็เลยต้องมานั่งทำแผล เพราะพวกท่านเล่นทุ่มกันเอง แต่นี่ยังดีที่พี่ซีเอามือปิดตาผมไว้ ก็เลยไม่เห็นภาพอันน่าหวาดเสียวของพวกท่านครับ แทนที่จะหันหน้าคุยกันดีๆ กลับเล่นมวยปล้ำ ตลกล่ะ
แล้วแม่พี่ซีก็หันมาทางคุณแม่คุณพ่อผมต่อ
พวกเธอเองก็เหมือนกัน ทำไมไม่รู้จักห้าม
แหม ฉันก็อยากเห็นพวกเขาเล่น เอ๊ย จะตกลงกันยังไง แต่ก็ไม่นึกว่า…”
ไม่นึกว่าสองคนนี้จะเล่นมวยปล้ำ ฮะๆ คำพูดของคุณพ่อคุณแม่ทำเอาผมถึงกับส่ายหน้าด้วยความเอือม ไม่ล้อเล่นล่ะ เลิกทำหน้าบึ้งเหมือนยักษ์ได้แล้ว เดี๋ยวฉันจัดการเอง อะแฮ่มๆ เรื่องของเด็ก แกก็น่าจะเลิกแอนตี้ได้แล้วนะไอ้แก่ ยอมรับไปเถอะ มันไม่เสียหายอะไรนี่
แต่กูอยากได้หลานมาสืบทอดวงศ์ตระกูล
บ๊ะไอ้แก่ อยากได้หลานก็รอลูกดีสิยะ อย่าบอกนะว่าคุณลืมลูกสาวไปอีกคนแล้วนะ
แหะๆ ลืมจ้ะคุณพ่อพี่ซียิ้มแห้งๆ หมดมาดคุณพ่อเขยเลยครับ ที่รัก เมื่อไหร่จะให้ผมกลับไปนอนที่บ้านล่ะ ผมเบื่อที่จะนอนโรงแรมแล้ว
คุณพ่อพี่ซีไม่วายหันไปถามคุณแม่พี่ซี ทำเอาคุณแม่พี่ซีถึงกับแยกเขี้ยวใส่เลยครับ
ยัง ฉันยังไม่อนุญาต!”
เฮ้ยได้ไง มันผ่านไปตั้งหลายวันแล้วนะ
ไม่รู้ล่ะ ก็คุณอยากงี่เง่ากับลูกเรนก่อนนี่!คุณแม่พี่ซีพูดพลางบิดหูคุณพ่ออย่างแรง ทำเอาร่างสูงร้องโอดครวญด้วยความเจ็บปวด ถ้าอยากกลับไปนอนบ้าน คุณต้องยอมรับลูกเรนเข้าบ้านเราเป็นลูกสะใภ้ที่ถูกต้องด้วย
แต่ที่รัก…”
ไม่มีแต่!โห คุณแม่ดุจัง เล่นทำเอาคุณพ่อถึงกับหงอไปเลยครับ ถ้ายังไม่ยอมรับอีก ฉันกับคุณได้หย่าขาดกันจริงๆด้วย
จ้ะ ยอมรับก็ได้จ้ะสุดท้ายแล้วคุณพ่อก็ต้องยอมศิโรราบคุณแม่ไปโดยปริยาย แต่หลังจากนั้นคุณพ่อพี่ซีได้แอบมากระซิบผม บอกว่าถึงคุณแม่ไม่บังคับ ท่านก็ยอมรับผมตั้งแต่มาช่วยท่านกับพี่ซีไม่ให้ถูกรถชนตั้งแต่ตอนนั้นแล้วครับ

พอทุกอย่างลงตัวเรียบร้อยแล้ว พวกคุณพ่อคุณแม่ต่างหันหน้ามาคุยกันอย่างดิบดี กับเรื่องแต่งงานของพวกผม ซึ่งพวกท่านอนุญาตให้พวกผมมีส่วนคิดเห็นเรื่องสถานที่จัดงาน แน่นอนว่าพวกผมปรึกษาหารือกันอยู่พักใหญ่ (พวกไอ้เต้ให้ความเห็นว่าทะเลดีที่สุด เพราะมันสวยงามมาก) สรุปก็คือจัดที่ชายทะเลที่จังหวัดภูเก็ตครับ พวกผมเชิญเฉพาะคนที่รู้จักจริงๆ ส่วนคุณพ่อคุณแม่ ท่านบอกว่าจะเชิญเพื่อนที่สนิทและคนรู้จักมาเท่านั้น ซึ่งผมก็เห็นดีด้วยเพราะผมไม่อยากให้งานมันใหญ่โตเกินไป (คนมาเยอะเกินทำให้มันสิ้นเปลืองเงินโดยใช่เหตุครับ) แต่ผมก็เข้าใจคู่บ่าวสาวที่ต้องเตรียมจัดงานได้เป็นอย่างดีครับ เพราะมันวุ่นวายมาก นี่ยังดีที่ได้คุณแม่กับคุณแม่พี่ซีช่วยนะครับ ไม่งั้นพวกผมคงเหนื่อยยกกำลังสามแน่ ไหนจะต้องเตรียมงาน ไหนจะต้องอ่านหนังสือเตรียมสอบปลายภาค (วันงานแต่งของพวกผมเป็นวันหลังจากสอบปลายภาคเสร็จนะครับ) ส่วนเรื่องหลังจากแต่งงานแล้ว พวกคุณพ่อคุณแม่ลงความเห็นว่าจะให้ผมกับพี่ซี และรินกับบอยอยู่บ้านหลังเดียวกันครับ ทีแรกพี่ซีกับบอยไม่ยอม แต่สุดท้ายก็ต้องยอมโดยดี เพราะพวกท่านให้เหตุผลว่าไม่อยากให้สิ้นเปลืองเงิน (ถึงจะรวยแต่ก็ใช่ว่าจะให้ใช้จ่ายเงินแบบสุรุ่ยสุร่ายได้นะครับ) แถมพวกเรายังเรียนหนังสืออยู่ ก็เลยต้องอยู่ไปด้วยกันก่อน (เรื่องบ้านเป็นบ้านที่อยู่ใกล้มหาวิทยาลัย เป็นบ้านที่คุณพ่อพี่ซีเคยปลูกเอาไว้ให้เขาเช่านะครับ)

“ถ้าอยากได้บ้านเป็นของตัวเอง ไว้เรียนจบทำงานหาเงินก่อนสิ ถึงเวลานั้นฉันจะไม่ห้ามพวกแกอีกเลย” พ่อพี่ซีถึงกับยื่นคำขาดครั้งที่สองเมื่อพี่ซีไปพูดรบเร้ากับคุณพ่อนะครับ ส่วนไอ้บอยก็ใช่ว่าจะอยู่เฉย ไปพูดกล่อมคุณพ่อตัวเองอยู่ทุกวันจนทะเลาะกันเกือบถึงขั้นบ้านแตกเลยด้วยซ้ำ แต่นี่ยังดีที่ได้รินห้ามบอยเอาไว้ ไม่งั้นคงแย่แน่ๆครับ