วันอังคารที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2556

ตอนที่ 17 คุ้มค่าทุกนาที

ตอนที่ 17 คุ้มค่าทุกนาที

คืนนั้นผมได้บอกเรื่องที่คืนดีกับไอบอยให้รินฟังแล้ว ซึ่งน้องชายผมก็ไม่ได้ว่าอะไร พอรุ่งเช้าถัดมาวันนี้ผมไม่ต้องออกไปมหาลัยพร้อมกับพี่ซี เพราะอีกฝ่ายบอกว่ามีเรียนแต่เช้า (ผมกับรินมีเรียนตอนบ่ายครับ) เมื่อถึงตอนเที่ยงผมกับรินก็ไปทานข้าวพร้อมกัน (ไม่ได้ทานที่มหาวิทยาลัยหรอกครับ กลัวมีคนรู้จักเห็นซะก่อน) พอทานเสร็จผมก็ขับรถไปส่งรินก่อนจะขับรถไปตึกคณะตัวเอง เมื่อไปถึงแล้วก็เดินตรงไปที่ห้องเรียนก่อนเลย แน่นอนว่าพอเปิดประตูเข้าไป ผมก็เห็นไอ้บอยนั่งอยู่หลังห้องแล้ว (มันยิ้มกับโบกมือเรียกให้ผมทันทีที่เห็นเลยครับ ส่วนเพื่อนคนอื่นๆก็นั่งจับเข่าคุยกันอยู่) ซึ่งผมก็ยอมไปนั่งกับมันนะครับ แต่นั่งแบบห่างเว้นหนึ่งที่เพื่อความปลอดภัย พอมันเห็นผมนั่งห่างๆแล้วถึงกับเบ้ปากทันที (มันคงรู้ตัวดีว่าทำไมผมถึงไม่นั่งใกล้กับมันนะครับ) ตอนเรียนก็ไม่มีปัญหาอะไรนะครับ เพราะต่างคนต่างนั่งเรียนของตัวเองไป บางเวลาผมเห็นมันแอบชำเลืองมองมาที่ผมด้วย จนแล้วจนรอดมันก็ส่งข้อความทางกระดาษมาให้ผมครับ
กูขอจีบมึงได้ไหมครับเรน
น่าน ไอ้นี่ ได้คืบจะเอาศอก เมื่อวานปากบอกว่าจะฟีทเจอริ่งกับผม พอมาวันนี้อยากจะจีบผมแทน ผมคิดได้ดังนั้นจึงเขียนข้อความกลับไปว่า เป็นแค่เพื่อนกันไปก่อนนะซึ่งพอมันได้อ่านถึงกับเม้มปากนิดๆ ก่อนจะก้มลงเขียนอะไรบางอย่างยิกๆ แล้วยื่นกระดาษส่งมาให้ผม
เป็นเพื่อนกันก่อนก็ได้ครับเจ้าหญิงตัวน้อยของผม ^O^
พอหมดชั่วโมงเรียน (อีกสองชั่วโมงกว่าจะถึงเวลาเรียกรวมห้องเชียร์ครับ) รุ่นพี่ก็เรียกให้ผมกับกิ๊ฟไปซ้อมดนตรี แน่นอนว่าไอ้บอยก็เดินตามพวกผมมาห่างๆด้วยครับ แต่โชคดีที่รุ่นพี่ไม่ยอมให้ไอ้บอยเข้าไปชม เพราะกลัวจะทำให้พวกผมเสียสมาธิเอาได้ พอซ้อมเสร็จก็เดินออกมา เห็นไอ้บอยนั่งกดมือถือรออยู่ด้านหน้าห้องซ้อมแล้ว
อ๊ะ มึงซ้อมเสร็จแล้วเหรอเรน มันสะดุ้งถามเมื่อเห็นผมกับกิ๊ฟเดินออกมาข้างนอกห้องแล้ว
อืมผมตอบสั้นๆ ก่อนจะหันไปทางกิ๊ฟ ที่เหลือกิ๊ฟก็ไปซ้อมร้องให้ดีนะ เพราะไม่จำเป็นต้องซ้อมพร้อมกันอีก โอเค?
จ้า เรนเองก็อย่าลืมไปซ้อมอู๊คมาให้ดีล่ะ
ครับแล้วกิ๊ฟก็ขอตัวไปหาเพื่อน เหลือแต่ผมกับไอ้บอยยังคงอยู่
นี่ก็เย็นแล้ว มึงจะไปกินข้าวกับกูก่อนเข้าห้องเชียร์ไหมไอ้บอยถาม (คณะผมไม่ได้หยุดเหมือนคณะของรินครับ) ซึ่งก่อนหน้านี้พี่ซีได้ส่งข้อความมาว่าจะมารับผมไปทานข้าวเย็นด้วย ทำเอาผมต้องรีบส่งข้อความไปบอกให้รินเดินมาที่คณะศึกษาคอยอยู่เข้าห้องเชียร์แทนผม เพราะเดี๋ยวผมจะเป็นคนไปกับพี่ซีเอง (รินกลัวพี่ซีครับ)
ไม่ล่ะ กูจะไปห้องน้ำ มึงรออยู่นี่แหละไอ้บอย ผมบอกปัดพลางหมุนตัวเดินไปอีกทาง แต่ก็ต้องชะงักเพราะโดนมือหนาคว้ามือเอาไว้ จับมือกูทำไม กูจะไปห้องน้ำ
ผมพูดพลางสะบัดมือมันออก ซึ่งมันก็ยอมปล่อยแต่โดยดี (แต่มันทำหน้างอนครับพี่น้อง)
งั้นระหว่างที่กูไปห้องน้ำ มึงก็ไปซื้อขนมมาให้กูแล้วกันไอ้บอย มันเงยหน้าขึ้นเลยครับ แถมยิ้มกว้างให้ผมอีก (เหมือนเด็กชะมัด)
อื้ม ได้สิแล้วมันก็วิ่งไปโรงอาหารอย่างร่าเริงทันที ส่วนผมก็ได้แต่ถอนหายใจครับ (เหนื่อยที่ต้องรับมือกับเพื่อนตัวเอง) พอมันไปแล้วผมก็รีบวิ่งไปที่คณะวิศวะอย่างเร็ว

ผมไม่รู้เป็นอะไรกันแน่ พอเรนบอกว่ายอมยกโทษให้แล้วผมถึงกับดีใจจนลืมทุกอย่าง ลืมได้แม้กระทั่งวิชาที่เรียนในคาบนี้ด้วย หลังจากเรียนจบคลาสผมก็เดินตามเรนไปซ้อมดนตรีกับกิ๊ฟ (เสียดายที่ไม่ได้เข้าไปข้างใน) แต่ก็ได้ยินเสียงร้องเพลงกับเสียงอูคูเรเร่เล็ดลอดออกมาจากห้องด้วยครับ (เพราะมากเลยขอบอก)
“อ้าว วันนี้เพื่อนไม่ได้มาซื้อขนมด้วยกันเหรอจ้ะ” แม่ค้าเอ่ยปากถามผม
“อ้อ ไม่ได้มาด้วยกันครับ พอดีเขาไปห้องน้ำ” ผมตอบก่อนหยิบขนมที่คิดว่าเรนน่าจะชอบ แต่ไปๆมาๆกลับเลือกเยอะเกินจนแม่ค้าแถมน้ำปั่นให้อีกสองแก้ว (เกือบถือกลับไปไม่ไหวแน่ะ) ครั้นพอเดินกลับไปก็เห็นร่างบางยืนปาดเหงื่อเหลียวซ้ายแลขวาราวกับมองหาอะไรบางอย่างอยู่ ทำเอาผมอมยิ้มกับท่าทางลุกลี้ลุกลนของอีกฝ่ายอย่างขำๆ แต่แล้วผมก็นึกเล่นพิเรนทร์อะไรบางอย่างออกมาได้ จึงเดินอ้อมไปด้านหลังของอีกฝ่ายอย่างเงียบๆ วางขนมกับน้ำปั่นไว้กับพื้นก่อนจะเอามือสองข้างปิดตาเรนเอาไว้อย่างรวดเร็ว แน่นอนว่าอีกฝ่ายพอโดนผมปิดตาเข้า ถึงกับสะดุ้งตกใจ “จ๊ะเอ๋! ทายซิใครเอ่ย”
ร่างบางนิ่งเลยครับ สงสัยคงกำลังคิดอยู่ว่าใครมาปิดตาตัวเอง
บอยใช่ไหมน่าน เดาแม่นครับ หึ เดาไม่ถูกก็บ้าแหละ ฟังเสียงก็น่าจะรู้แล้ว แต่ขอเล่นตัวหน่อย
ม่ายช่ายผมแกล้งดัดเสียงครับ หึๆ ดูซิว่าจะยังทายว่าเป็นผมอยู่อีกรึเปล่า แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะไม่เล่นด้วย ยืนนิ่งจนผมต้องยอมปล่อยมือครับ เอ่อ กูขอโทษ กูก็แค่อยากให้มึงหายเครียดก็เท่านั้นเอง
แล้วผมก็ยืนรอครับ แต่อีกฝ่ายไม่ยอมหันหน้ากลับมา แถมตัวสั่นราวกับเหมือนจะร้องไห้ด้วย
อย่าร้องไห้เลยนะครับเจ้าหญิง ผมขอโทษ ผมไม่ได้...
ฮะ...ฮะ...ฮ่า!อยู่ๆร่างบางก็หัวเราะเสียงดังลั่น ทำเอาผมถึงกับมึน เพราะไม่รู้ว่าทำไมอีกฝ่ายถึงหัวเราะออกมา ฮะๆ มึงนี่ก็ตลกดีนะ เล่นปิดตาซ่อนแอบเป็นเด็กจนกูกลั้นหัวเราะไม่ไหวแน่ะ ฮะๆ
ร่างบางหันหน้ามายิ้มหัวเราะก่อนจะเอามือตบไหล่ผมสองสามทีด้วย ทำเอาผมที่กำลังเอ๋อแดกถึงกับบางอ้อเลยครับ ที่แท้เรนกำลังแอบหัวเราะอยู่นี่เอง ไม่ใช่ร้องไห้อย่างที่ผมเข้าใจ
แสบนักนะเจ้าหญิงตัวน้อยของผม
หลังจากนั้นผมกับเรนก็นั่งทานขนมด้วยกันจนหมด ก่อนจะเดินเข้าห้องเชียร์พร้อมกันอย่างหน้าชื่นตาบาน(?)
“ขอป๊อปคอร์นรสหวานกับน้ำเป๊ปซี่หนึ่งแก้วครับ”
“ได้ค่ะ กรุณารอซักครู่” เสียงพนักงานบอก ก่อนที่ผมจะหันไปมองร่างบาง ซึ่งบัดนี้กำลังเงยหน้ามองรายชื่อหนังภาพยนตร์อยู่ ฟังไม่ผิดหรอกครับ ตอนนี้ผมกับน้องรินกำลังอยู่โรงภาพยนตร์ในห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง เมื่อเย็นผมส่งข้อความไปว่าจะพาไปทานข้าวกับดูหนัง ไม่นานเกินรอร่างบางก็วิ่งกระหืดกระหอบมาหาผมที่ลานจอดรถ
“ไปทำอะไรมาเหรอครับที่รัก ถึงได้วิ่งหอบมาแบบนี้” ผมถามด้วยความเป็นห่วง ซึ่งกว่าร่างบางจะตอบก็ใช้เวลาพักหายใจอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะตอบกลับมาด้วยรอยยิ้มว่า
“ผมกลัวพี่ซีจะรอนานก็เลยวิ่งมานะครับ”
ช่างเป็นคำตอบที่ทำให้ผมรู้สึกดีจริงๆ ทำเอาผมอยากครอบครองร่างบางเร็วมากขึ้นแล้วสิครับ พอได้ของกินแล้วผมก็เดินกลับไปหาคนรักต่อ
“ว่ายังไงครับที่รัก อยากดูหนังเรื่องอะไรเอ่ย” ร่างบางได้ยินที่ผมพูดก็หันมาตอบผมว่า
“ยังไม่รู้เลยครับ เพราะมันน่าดูหมดเลย อ๊ะ ขอบคุณครับ” รินพูดขอบคุณพลางรับป็อปคอร์นที่ผมยื่นให้ไปถือเอาไว้แนบอก “พี่ซีมาช่วยผมคิดหน่อยสิครับว่าจะดูหนังเรื่องอะไรดี”
“อืม นั่นสินะ จะเอาเรื่องอะไรดี” ผมพูดพลางแสร้งเดินเข้าไปประชิดร่างบางเพื่อดูรายชื่อหนังภาพยนตร์ที่จะเข้าฉายในวันนี้ (เนียนครับเนียน) ก่อนที่ผมจะได้กลิ่นหอมของแป้งเด็กลอยมาจากน้องริน (อื้อหือ หอมจังเลยครับผมชอบ) แต่ไปซักพักดูเหมือนร่างบางจะรู้ตัวแล้วนะครับ ถึงได้นิ่งไม่ขยับ (อายจนหูแดงเลยครับ) “งั้นเอาเรื่องนี้แล้วกัน ผมชอบ”
แล้วผมก็จับมืออันบอบบางของน้องรินไปเข้าแถวซื้อตั๋ว เมื่อเรียบร้อยแล้วก็จูงร่างบางเดินเข้าโรงหนังไป ซึ่งอีกฝ่ายก็ยอมเดินตามมาแต่โดยดี (เห็นเงียบๆแต่หน้าเน้อแดงไปหมดแล้วครับ หึๆ) ส่วนหนังที่ผมเลือกมาดูก็จะเป็นแนวบู้ครับ (ฮั่นแน่ คิดว่าผมเลือกหนังแนวรักล่ะสิ แต่วันนี้มันไม่มีนะครับ ฮะๆ) ซึ่งระหว่างที่หนังฉาย ผมก็แอบจับมือร่างบางบ้าง ไม่ก็ดูดน้ำแก้วเดียวกันบ้าง (เหมือนจูบทางอ้อมเลยนะครับ หึๆ) แต่พอไปได้ครึ่งเรื่อง ร่างบางเอาหัวมาเอนซบไหล่ผม (สงสัยไม่เคยดูแนวนี้ก็เลยหลับไปครับ) ผมก็ได้แต่อมยิ้มก่อนจะแอบหอมแก้มน้องรินเบาๆ (เนียนได้โล่เลยครับ) แล้วหันไปดูหนังต่อโดยที่มือผมยังกุมมือร่างบางอยู่อย่างนั้นไปจนจบเรื่อง

การเดทกับพี่ซีครั้งนี้ผมรู้สึกว่าพี่ซีจะรุกผมหนักขึ้น(?) นับตั้งแต่ทานข้าวด้วยกันจนกระทั่งไปดูหนังที่โรงภาพยนตร์ ไม่ว่าจะเป็นการจับมือถือแขน หอมแก้มหอมมือ เขยิบเข้ามาชิดใกล้ ดูดน้ำจากหลอดเดียวกัน หรือแม้กระทั่งตอนทานป็อปคอร์น พี่ซีก็จะดึงมือผมที่มีเศษป็อปคอร์นขึ้นมาเลียนิ้วผมอีกด้วย ช่วงที่หนังฉายผมเผลอหลับไป (แต่ตอนนั้นผมรู้สึกว่าพี่ซีจะแอบหอมแก้มผมด้วยนะครับ) พอหนังจบพี่ซีก็ปลุกผมให้ตื่น ก่อนจะพาผมเดินออกไปหาอะไรทาน (เลยมื้อเย็นมามากแล้วครับ เริ่มหิวแล้วด้วย แหะๆ) ซึ่งร้านที่พี่ซีพาผมเข้าไปนั้นเป็นร้านอาหารญี่ปุ่นครับ
นั่นรินไม่ใช่เหรอ รินทางนี้ๆเสียงคุ้นหูเรียกผมครับ ทำเอาผมกับพี่ซีหันไปมองก่อนจะพบสี่หน่อกำลังทานอาหารญี่ปุ่นอยู่ มาทานอาหารกับพี่ซีเหรอ หึๆ
ไอ้หนึ่งแซว ไอ้ผมก็สวนกลับไปสิครับ
เอ้าไอ้นี่ มาอาบน้ำมั้งถามมาได้
“พอเลยทั้งคู่ เจอหน้ากันทีไรเป็นต้องกัดกันทุกที” พุพูดตัดบทด้วยความรำคาญ ก่อนจะหันไปมองพี่ซี “พี่ซีจะมาทานร่วมกับพวกเราด้วยไหมครับ”
“อืม ก็ดีเหมือนกัน ที่รัก ไปนั่งกันเถอะครับ” พี่ซีตอบก่อนจะหันมาชวนผมไปนั่ง ซึ่งผมรึจะกล้าแย้ง มีแต่เดินตามหลังไปนั่งกับพี่ซี (โดนจูงมืออยู่ครับ) “ว่าแต่พวกคุณสั่งอาหารไปแล้วรึยัง”
“ยังครับพี่ซี พวกผมเพิ่งจะมาถึงเมื่อตะกี้เอง” อาร์ทตอบเสียงแจ๋ว
“อืม งั้นเดี๋ยวมื้อนี้ผมเป็นเจ้ามือเอง ถือซะว่ารุ่นพี่พามาเลี้ยงแล้วกัน” พี่ซีบอก ซึ่งทำเอาสี่หน่อถึงกับโห่ร้องด้วยความดีใจ เมื่อสั่งอาหารเรียบร้อยแล้วพวกมันก็นั่งคุยกับพี่ซีอย่างสนุกปาก ส่วนผมได้แต่ยิ้มกับนั่งฟังเพียงอย่างเดียว (ก็คนไม่รู้จะพูดอะไรดีนี่ครับ)
เออริน มึงมากับพี่ซีแบบนี้พี่มึงไม่ว่าเอาเหรออยู่ๆไอ้หนึ่งก็พูดขึ้นมา ทำเอาผมสะดุ้งเล็กน้อย
นั่นสิ ปกติพี่มึงเป็นคนหวงมึงจะตาย เวลาไปกับใครต้องถามว่าคนนี้เป็นใคร บ้านอยู่ไหน รู้จักกับรินได้ยังไง อะไรประมาณนี้ไอ้เต้พูดเสริม ทำเอาผมเหงื่อตกครับ เพราะดูพี่ซีตั้งใจฟังที่ไอ้เต้พูดเหลือเกิน เอ หรือว่ามึงแอบออกมาไม่ให้พี่มึงรู้นะ เฮ้ย ไม่เอานะเว้ย เดี๋ยวพี่มึงโทรตามจิกพวกกูเอาตายแน่ มึงรีบโทรบอกพี่มึงเลยไอ้ริน
เอ่อ เรื่องนั้นพี่เค้ารู้แล้วล่ะ ไม่ต้องโทรไปบอกหรอก ผมรีบพูดตอบกลับไป
เฮ้ยไม่ได้เว้ย เดี๋ยวก็เหมือนกับคราวก่อนหรอก อาร์ทจำได้ไหมไอ้ตอนที่มีคนมาจีบรินตอนอยู่มัธยมนะไอ้หนึ่งพูดพลางหันไปถามอาร์ท ตอนนั้นพี่มันก็รู้นะว่าใครมาจีบริน แต่ก็ไม่รู้ว่ารินพาไอ้นั่นออกมาข้างนอกกับพวกเราแบบนี้แหละ
ใช่ๆ แล้วพอพี่ของรินมาเห็นเข้า ก็โกรธด่าพวกผมไม่ยั้ง หาว่าพวกผมปิดบังเรื่องเดตไม่ให้พี่เค้ารู้อาร์ทพูดต่อ ส่วนผมได้แต่ยิ้มแห้งๆ ก็ตอนนั้นผมมาวีนพวกมันจริงครับ (ตอนนั้นโกรธมากเลยด้วย)
แล้วไงต่อครับดูเหมือนพี่ซีจะสนใจตัวผมมากก็เลยถามต่ออีก
แล้วทีนี้พอด่าพวกผมเสร็จ ก็หันไปเอาเรื่องกับคนที่มาจีบรินด้วยครับพี่ซี แทบจะไล่คนนั้นเตลิดจนไม่คิดกลับมาจีบรินอีกเลยไอ้หนึ่งยังต่อครับ (ฮึ่ม ผมอยากจะฆ่ามันเหลือเกิน พูดอยู่ได้นะไอ้เรื่องของผมเนี่ย) พี่ซีเองก็ระวังตัวด้วยนะครับ ถ้าพี่ของรินรู้เข้า มีหวังพี่ซีได้ปะทะคารมกับพี่ของรินอย่างแน่นอน
ฮะๆ ถ้าได้ก็ดีสิ ผมจะได้เข้าไปทำความรู้จักกับพี่ของคุณริน ว่าแต่พี่ของคุณรินชื่ออะไรเหรอครับ
อ้าวนี่รินยังไม่ได้เล่าเรื่องพี่ชายตัวเองให้พี่ซีรู้อีกหรือครับเนี่ย ไอ้เต้พูดด้วยความมึนงง
ยังเลยครับ แค่บอกว่ามีพี่ชายเรียนอยู่ปีหนึ่งคณะศึกษาศาสตร์เท่านั้น
ฮะๆถ้างั้นเดี๋ยวผมเล่าประวัติพี่ชายของรินให้พี่ซีฟังเองครับ ไอ้หนึ่งพูดไปหัวเราะไปพลาง แต่ผมสิ นั่งลุ้นจนไม่ติดเก้าอี้แล้ว (เพราะไม่รู้จะหาอะไรมาอุดปากมันดี) พี่ชายของรินชื่อเรนเป็นฝา…”

            Trr…
            เสียงมือถือดังขึ้นทำเอาน้องหนึ่งที่กำลังเล่าเรื่องพี่ชายของรินให้ฟังผมถึงกับหยุดชะงัก
            เดี๋ยวพี่ขอตัวไปคุยโทรศัพท์ก่อนนะครับ ผมบอกก่อนจะลุกขึ้นเดินออกไปคุยโทรศัพท์ ซึ่งคนโทรมาหาผมนั้นเป็นไอ้ออยครับ มันโทรมาชวนผมไปดื่มเหล้า แต่ผมบอกปัดไปว่ามีเดตกับน้องริน มันก็เลยไม่ว่าอะไร แถมมีแซวผมว่าคืนนี้อย่าฟีทเจอริ่งน้องจนดึกด้วย (ไอ้ผมก็สวนไปสิครับว่ายังไม่ได้เป็นแฟนกัน จะทำได้ยังไงกันเล่าจริงไหมครับ) พอคุยเสร็จผมก็เดินกลับมาอีกที เห็นพวกน้องเต้ทำหน้าปุเลี่ยนๆ อ้าว เป็นอะไรเหรอครับ ทำไมทำหน้าแบบนั้นล่ะ
            ไม่มีอะไรครับ ไม่มี แหะๆน้องหนึ่งพูดตอบไปหัวเราะไป
            ว่าแต่เมื่อกี้พี่ชายของคุณรินชื่อเรนใช่ไหมครับ แล้วที่ว่าเป็นฝาอะไรเนี่ย ฝาอะไรเหรอครับผมความจำแม่นครับ ต่อให้ใครพูดอะไรค้างไว้ผมก็ยังจำได้ไม่มีลืม
            อ้อ พี่เรนเขาเป็นคนฝากรินให้พวกผมช่วยดูแลนะครับ น้องหนึ่งยิ้มตอบ
            “งั้นเหรอ อืม ก็ดูสมเป็นพี่ชายดีนะครับ” ผมพูดพลางหันหน้าไปทางคนรัก ซึ่งตอนนี้ได้หันมามองทางผมด้วย “เพราะถ้าเป็นผม ผมเองก็คงเป็นห่วงคุณรินเหมือนกัน ก็น่ารักซะขนาดนี้ ใครไม่หวง เอ๊ย ห่วงก็บ้าแล้วล่ะครับ”
            พอผมพูดจบ ร่างบางถึงกับหน้าขึ้นสีทันที (แหมอายได้น่ารักจังเลยนะครับที่รักของผม) เมื่ออาหารถูกเสิร์ฟ พวกผมก็ลงมือทานกัน ซึ่งระหว่างทานก็นั่งคุยไปด้วยพร้อมกัน ดูครึกครื้นดี ผมชอบครับ พอทานอาหารเรียบร้อยกันแล้ว ผมก็เป็นฝ่ายจ่ายเงินก่อนที่พวกเด็กๆจะขอตัวกลับบ้าน ส่วนผมก็ขับรถพาน้องรินกลับไปส่งที่บ้าน
            “ขอบคุณนะครับพี่ซีที่อุตส่าห์มาส่ง วันนี้สนุกมากเลยครับ”
            “ครับ ผมเองก็สนุกเหมือนกัน” ว่าแล้วก็ไม่ลืมโน้มตัวจุ๊บปากร่างบางเบาๆ “คืนนี้นอนหลับแล้วอย่าลืมฝันถึงผมด้วยนะครับที่รัก”
            อีกฝ่ายพอโดนผมจุ๊บปากถึงกับหน้าขึ้นสี ก่อนจะรีบลงจากรถเข้าบ้านไปโดยไม่หันมามองผมอีกเลย

            หึ วันนี้ช่างเป็นวันเดตที่คุ้มค่าทุกนาทีจริงๆเลยนะครับว่าไหม

วันเสาร์ที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2556

ตอนที่ 16 เกือบไป

ตอนที่ 16 เกือบไป

“มองกูอยู่ได้ จะแดกก็แดกไปสิ”
“เสียใจด้วยเรน กูแดกข้าวไม่ได้หรอกวะ”
“อ้าวทำไมถึงแดกไม่ได้ล่ะ”
“เพราะแค่กูเห็นหน้ามึง กูก็อิ่มใจแล้วครับ”
!!!!!!!!!
คำพูดของไอ้บอยทำเอาผมสตั๊นไปสิบวิ ก่อนจะใช้เวลารวบรวมสติแล้วถามมันอีกครั้ง
“มึงพูดเล่นใช่ไหมไอ้บอย” ผมพูดพลางหันซ้ายหันขวา เผื่อบางทีอาจจะมีรายการดาราจำเป็นแอบถ่ายอยู่แถวนี้ก็เป็นได้ “มึงได้ค่านายหน้าจากพวกรายการเกมโชว์มาเท่าไหร่ล่ะ ถึงได้...อุ๊บ”
ผมพูดยังไม่ทันจบ พอหันหน้าไปหาไอ้บอยเท่านั้นแหละ ริมฝีปากหนาประกบริมฝีปากบางของผมทันที ไอ้ผมก็ตกใจสิครับ ทำท่าจะถอยหนีแต่ก็โดนอีกฝ่ายใช้มือรั้งต้นคอเอาไว้ ผมก็อยากจะดันมันออกนะครับแต่ติดอยู่ที่ว่ามือข้างหนึ่งถือชามข้าวต้มร้อนๆอยู่ (ถ้าปล่อยมีหวังได้ลวกขาตัวเองแน่) ส่วนอีกมือหนึ่งก็ปล่อยช้อนลงชามก่อนจะยกขึ้นมายันหน้าอกไอ้บอยเอาไว้ (แต่ดันแล้วมันไม่ขยับเลยครับพี่น้อง)
“อื้อ อ่อยอู!” ผมร้องครางในลำคอ แต่แล้วผมก็ต้องสะดุ้งตกใจเมื่ออีกฝ่ายขบปากผมแรงๆจนผมต้องเผยอริมฝีปากออก “อื้อออออ”
แล้วไอ้บอยก็ฉวยโอกาสสอดลิ้นเข้ามาในโพรงปากของผมทันที มันควานไปทั่วก่อนจะเกี่ยวกระหวัดเข้ากับลิ้นของผมดูดเม้มอย่างหนักหน่วง จนเรี่ยวแรงพร้อมกับอากาศหายใจผมเริ่มหมดลง ผมจึงร้องประท้วงและใช้มือข้างที่ว่างทุบหน้าอกมันแรงๆ
“อือออ! อื้อ!” ในที่สุดมันก็ยอมผละริมฝีปากออกมาครับ ทำเอาผมถึงกับหอบหายใจ ใบหน้าร้อนผ่าวอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน “แฮ่กๆ...มึง...ไอ้บอย...มึงจูบกู...แฮ่กๆ...ทำไม”
มันยิ้มครับ ยิ้มหวานอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน
“ก็กูชอบมึงยังไงล่ะครับเจ้าหญิงตัวน้อยของผม”
!!!!!!!!
“ม่ายยยยยยยยยยย!!!!!” ผมแผดเสียงร้องโวยวายก่อนจะผุดลุกจากที่นอน ทำเอาเรนที่นอนอยู่ข้างๆถึงกับสะดุ้งตกใจตื่นขึ้นมาด้วยพร้อมกัน
“เป็นอะไรริน ร้องทำไม!” แฝดผู้พี่ร้องถามด้วยความเป็นห่วง ไอ้ผมก็พูดไม่ออกสิครับ ได้แต่เช็ดน้ำตาที่ยังปริ่มขอบตาอยู่ออก “ฝันร้ายเหรอริน”
ผมไม่ตอบ ก่อนจะหันไปกอดเอวเอาหน้าซุกอกพี่ชายตัวเอง ส่วนเรนนั้นเมื่อถูกผมกอด ก็เอามือลูบหัวผมอย่างแผ่วเบา
ชอบจัง ชอบเรนตอนลูบหัวจังเลย
“วันนี้รินไม่ต้องไปเข้าห้องเชียร์ที่คณะเรนนะรู้ไหม” เรนพูดขึ้นหลังจากนั่งลูบหัวผมได้ซักพักแล้ว “อยู่ที่คณะวิศวะไปก่อน ส่วนไอ้บอย เดี๋ยวเรนจัดการให้เองไม่ต้องเป็นห่วง”
ห๊ะ? จัดการ จัดการอะไรเหรอ?
“หมายความว่ายังไงเหรอเรน รินไม่เข้าใจ” ผมเงยหน้าขึ้นเอียงคอถามด้วยความสงสัย
“ก็จัดการไม่ให้ไอ้บอยมายุ่งกับพวกเราได้อีกยังไงล่ะริน” เรนยิ้มตอบ ดูเหมือนเรนจะรู้เรื่องผมไปซะทุกเรื่อง นี่ขนาดยังไม่ได้บอกว่าผมฝันร้ายเรื่องอะไร ก็ยังเดาใจผมได้แม่นราวกับจับวาง (สมแล้วที่พวกเราเป็นฝาแฝดกัน ไม่ต้องบอกก็รู้ได้เองครับ)
“รินว่าเรนไม่ต้องหรอก เดี๋ยวรินจัดการเอง” ผมเป็นคนวางแผนสลับตัวมาตั้งแต่แรก เมื่อผมเจอปัญหาก็ต้องหาทางแก้ไขด้วยตนเองสิถึงจะถูก จริงไหมครับ “เพราะขืนเกิดให้รินกลับไปตอนนี้ รินกลัวว่าจะรับมือพี่ซีไม่ถูกนะเรน”
ผมกลัวโดนพี่ซีกอดกับหอมแก้มอีกนะครับ แหะๆ
“อืม งั้นก็ได้ แต่รินแน่ใจนะว่าจัดการเองได้นะ” เรนถามด้วยความเป็นห่วง คงเป็นเพราะผมเป็นคนหัวอ่อน เรนเลยไม่ค่อยวางใจผมให้ทำเรื่องยากๆหรือแก้ปัญหาได้ด้วยตนเองซักเท่าไหร่ (แถมครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ผมจะจัดการได้ด้วยตนเอง)
“อื้อ แน่ใจสิ”
“แล้วถ้าเกิดไอ้บอยทำอะไรรินอีกล่ะก็ คราวนี้ให้โทรมาหาเรนเลยนะรู้ไหม”
“คร้าบบบโผมมม!!” มีพี่ชายก็ดีแบบนี้แหละครับ คอยเป็นห่วงน้องชายเสมอ แต่ถ้าใครมาขอพี่ชาย ผมจะไม่ยกให้ใครเด็ดขาด ยกเว้นพี่ซีไปซักคน รายนั้นผมให้อภัยครับ หึๆ (ตามจีบให้ติดเอาเองนะครับพี่ซี)

ใจจริงผมไม่รู้หรอกว่ารินฝันร้ายเรื่องอะไรหรอกครับ แต่เดาได้ว่ามันต้องเกี่ยวกับไอ้บอยแน่ๆ ถึงรินบอกว่าจะจัดการกับไอ้บอยด้วยตนเอง แต่ผมก็ยังวางใจไม่ได้อยู่ดี (เป็นห่วงรินครับ) ฉะนั้นวันนี้ผมจะจัดการกับไอ้บอยขั้นเด็ดขาดซะหน่อยแล้ว จะได้เลิกตอแยพวกเราซักที (แต่จะจัดการมันยังไงดีหว่า) หลังจากพี่ซีพาผมไปทานข้าวเช้าด้วยกันแล้ว ก็ขับรถมาส่งที่ห้องสมุดตามเคย (ดูเหมือนพี่ซีจะไม่สงสัยเลยว่าทำไมผมถึงชอบมาที่นี่ก่อนไปเรียนด้วยนะครับ) แล้วผมก็เดินไปที่คณะตัวเอง ซึ่งพอมาถึงก็เห็นเจ้าตัวปัญหานั่งเล่นเกมมือถืออยู่ใต้ตึกคณะอย่างสนุกสนานเลยครับ
ปัง!
ผมทุบโต๊ะเสียงดังลั่น ซึ่งทำเอาไอ้บอยถึงกับสะดุ้งตกใจ พอมันเงยหน้าขึ้นมาเห็นผมเท่านั้นแหละ มันก็ยิ้มหวานให้ผมเลยทันทีครับ
“ว่าไงครับเจ้าหญิงตัวน้อยของผม เมื่อคืนหลับสบายดีไหม”
“หลับสบายพ่องมึงสิ แล้วมึงไม่ต้องมีหน้ามาเสือกยิ้มให้กูเลยไอ้บอย” ผมด่าชี้หน้ามันก่อนเลยครับ ส่วนมันพอโดนผมด่า มันก็หุบยิ้มทันที “เมื่อวานมึงทำกูเจ็บแสบมากนะ นับต่อจากนี้ไปมึงไม่ต้องมาเป็นเพื่อนกับกู มึงกับกูขาดกัน แล้วมึงไม่ต้องมายุ่งกับกูอีกจำเอาไว้!
ผมไม่ง้อมันหรอกครับ เพราะถึงไม่มีมัน ผมก็มีเพื่อนให้คบอีกเยอะพอถมไป ส่วนไอ้บอยนั้นพอถูกผมด่ามันถึงกับโมโหลุกขึ้นยืนพรวดพราด ก่อนจะคว้าแขนผมแล้วบีบซะแรงจนผมทนไม่ไหวถึงกับต้องร้องโอดครวญด้วยความเจ็บปวด
“เจ็บนะไอ้บอย ปล่อยกู”
“หึ เจ็บซะได้ก็ดี มึงจะได้รู้ว่ากูรู้สึกยังไงกับมึง!” มันตวาดเสียงใส่ผมจนซะหูชาเลยครับ “ดี ถ้ามึงไม่อยากเป็นเพื่อนกับกู งั้นมึงก็มาเป็นเมียกูแทนซะเลยแล้วกัน”
!!!!!!!

วันนี้ผมโดนอาจารย์ใช้ให้มาเอาเอกสารที่ตึกคณะศึกษาแต่เช้าอีกแล้วครับท่าน เป็นอะไรที่โดนจิกใช้อยู่เสมอ (อ๊ะ ล้อเล่นครับ ผมทำด้วยความเต็มใจนะ) พอขับรถไปถึงก็เดินลงมา ก่อนจะได้ยินเสียงคนทะเลาะกันดังมาจากใต้ตึกคณะ
ใครกันมาทะเลาะเสียงดังกันแต่เช้านะ ไม่ไหวเลยแย่จริงๆ
พอผมเดินเข้าไปข้างใน เสียงทะเลาะกันก็เริ่มชัดมากขึ้น
“เจ็บนะไอ้บอย ปล่อยกู” เสียงคุ้นๆนะผมว่า
“หึ เจ็บซะได้ก็ดี มึงจะได้รู้ว่ากูรู้สึกยังไงกับมึง!” ไอ้คนนี้ก็ด่าเสียงดังเกินไปนะครับ ผมเห็นท่าไม่ดี จึงรีบเดินเข้าไปก่อนจะเห็นร่างบางคุ้นตา (น้องริน เอ๊ย น้องเรนนั่นเอง) กำลังโดนอีกฝ่ายที่น่าจะเป็นเพื่อนของไอ้ตัวแสบจับแขนเอาไว้อยู่ “ดี ถ้ามึงไม่อยากเป็นเพื่อนกับกู งั้นมึงก็มาเป็นเมียกูแทนซะเลยแล้วกัน”
เฮ้ย อย่าบอกนะว่ามันจะลากว่าที่แฟน(?)ของไอ้ซีไปข่มขืนนะ?!
“คุยอะไรกันอยู่ครับ พี่ขอเข้าร่วมวงด้วยได้ไหมเอ่ย” ปากพูดสุภาพแต่น้ำเสียงไปคนละเรื่อง ในเมื่อว่าที่แฟนของไอ้ซีกำลังจะถูกไอ้หมอนี่ลากไปข่มขืนอยู่แล้ว เพื่อนที่แสนดีอย่างผมมีหรือที่จะยอมปล่อยให้มันลากน้องเรนไปข่มขืนต่อหน้าต่อตาได้ยังไงกันละครับจริงไหม “ว่ายังไงครับน้องชาย คุยอะไรกันอยู่”
ไม่พูดเปล่าเพียงอย่างเดียว ผมยังใช้มือบีบหัวไหล่ของคนที่คิดจะพาไอ้ตัวแสบไปทำมิดีมิร้ายแรงๆอีกด้วย แน่นอนว่าไอ้ตัวแสบพอได้เห็นผมแล้ว ถึงกับฉีกยิ้มด้วยความดีใจ
“พี่ออย”
ส่วนไอ้คนที่ถูกผมบีบหัวไหล่มันก็ยอมปล่อยแขนของน้องเรนออกแต่โดยดี (ผมเองก็ปล่อยมือเหมือนกันครับ) แล้วร่างบางก็รีบเดินเข้ามาหลบอยู่หลังผมอย่างรวดเร็ว (คงกลัวมั้งครับ เห็นตัวสั่นใหญ่เลยเชียว)
“เรน” ดูมันสิครับ ทำเป็นตีหน้าเศร้า ทั้งๆที่เมื่อครู่นี้มันเล่นบทโหดจะพาน้องเรนไปฟีทเจอริ่งอยู่แท้ๆ เอ หรือว่ามันเพิ่งจะคิดได้ว่าสิ่งที่มันทำกับเพื่อนตัวเองนั้นเลวแค่ไหน “กูขอโทษ กูไม่ได้...”
“พี่ออย เดี๋ยวผมขอตัวไปเรียนก่อนนะครับ” ดูเหมือนน้องเรนไม่อยากจะอยู่ฟังคำแก้ตัว จึงได้หันมาพูดกับผมโดยไม่มองหน้ามันเลยครับ ส่วนผมก็ได้แต่ยิ้มรับแล้วเอามือลูบหัวร่างบางเพื่อปลอบใจเรียกขวัญให้กลับคืนมา
“ครับ ตั้งใจเรียนนะน้องเรน” แล้วร่างบางก็เดินจากไปโดยไม่หันกลับมามอง ส่วนผมรึ ก็หันไปยิ้มใส่มันพร้อมกับเอามือตบไหล่มันแรงๆไปสองที “เมื่อกี้อย่าคิดนะว่ากูไม่ได้ยินที่มึงพูด อย่าให้มีแบบนี้อีกซ้ำสอง ไม่งั้นกูเหยียบมึงให้ตายคาตีนแน่ไอ้เด็กเวร”
ผมกระซิบบอกกับมันก่อนจะเดินเข้าไปในตึกต่อด้วยความสะใจ

วันนี้ทั้งวันมีแต่เพื่อนถามหาไอ้บอย ซึ่งผมก็ตอบได้เพียงว่าไม่รู้ไม่ทราบ ส่วนเรื่องเมื่อเช้าผมก็ได้ส่งข้อความไปบอกรินแล้ว ซึ่งน้องชายก็ไม่ได้ว่าอะไรผม กลับดีใจที่เห็นผมปลอดภัยจากเงื้อมมือของบอยอีกด้วย แต่จะว่าไปก็เหงาอยู่เหมือนกันนะครับ พอไม่มีไอ้บอยมานั่งเรียนด้วยกันแล้วมันก็อดเหงาปากไม่ได้ แต่ถึงกระนั้นผมก็ยังมีเพื่อนผู้ชายในห้องอีกหลายคนให้คุยด้วยอยู่ดีนั่นแหละ (ถึงมันจะกลับมาเรียนต่อ ผมก็ไม่คิดมันเป็นเพื่อนอีกแล้วครับ) พอตกเย็นผมก็ไปที่คณะวิศวะตามเดิม ส่วนรินก็มาที่คณะผม แน่นอนว่าผมไม่ลืมที่จะเตือนรินว่าถ้าเจอไอ้บอยให้อยู่ห่างมันเอาไว้ ซึ่งน้องชายผมก็ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดีครับ
“พรุ่งนี้ผมจะให้พวกคุณได้หยุดพักหนึ่งวัน” พี่ซีประกาศบอกหลังจากเรียกรวมแล้ว “แต่พวกคุณอย่าเพิ่งดีใจไป เพราะวันเสาร์กับวันอาทิตย์ที่จะถึงนี้ผมจะเรียกพวกคุณให้มาเจอกันที่คณะตอนแปดโมงเช้า”
พอได้ยินแบบนี้ชะงักกันเป็นแถวสิครับ เพราะทุกคนคิดว่าจะได้พักผ่อนแบบสบายๆซักหน่อย แต่กลับต้องโดนเรียกให้มารวมตัวกันที่คณะในวันเสาร์อาทิตย์
“แต่พวกผมมีรายงานที่ต้องทำวันเสาร์ด้วยนะครับพี่ซี” น่าน มีคนกล้ายกมือถามด้วยครับ
“ผมพูดยังไม่ทันจบ อย่าเพิ่งขัดครับ” พี่ซีก็ตอบย้อนกลับไป ทำเอาคนถามถึงกับผงะ (ไม่ให้ผงะได้ยังไงกันเล่า ก็พี่ซีเล่นทำหน้าดุซะขนาดนั้น) “สาเหตุที่ผมเรียกพวกคุณมาที่คณะ ก็เพื่อให้พวกคุณมาร้องเพลงเชียร์ให้กับพวกรุ่นพี่ที่เป็นนักกีฬา ซึ่งจะทำการแข่งขันบาสเกตบอลในตอนเก้าโมงเช้าทั้งสองวัน ฉะนั้นพวกคุณไม่ต้องเป็นห่วง งานแข่งนี้มีถึงตอนเที่ยงเท่านั้น ส่วนตอนบ่ายคุณจะกลับไปทำรายงานก็ว่ากันไป เอาล่ะวันนี้ผมไม่มีอะไรให้พวกคุณทำแล้ว แยกย้ายกันกลับบ้านได้แล้วครับ
หลังจากนั้นทุกคนก็แยกย้ายกันกลับบ้าน เหลือพวกผมที่ยังคงอยู่
เฮ้ยเสาร์อาทิตย์นี้มึงจะไปเที่ยวกับพวกกูไหมวะไอ้รินไอ้เต้ถามครับ ไอ้ผมที่ลืมเรื่องนี้ไปแล้วก็เพิ่งนึกขึ้นได้ (อ้าว รินไม่ได้ตอบตกลงกับพวกมันไปแล้วหรอกรึเนี่ย)
กูยังไม่แน่ใจ ไว้พรุ่งนี้จะให้คำตอบพวกมึงแล้วกันบอกปัดไปก่อน ไว้ให้รินมาตอบแทนเอง แล้วพวกมันก็ขอตัวกลับบ้าน เหลือแต่ผมที่ยังคงรอพี่ซีอยู่
Trrr…
ผมมุ่นคิ้วเมื่อได้ยินเสียงมือถือ ก่อนจะควักหยิบขึ้นมาดู
บอย
หึ คิดโทรมาง้อรึ ฝันไปเถอะไอ้โรคจิต
ผมคิดในใจก่อนจะกดตัดสายทิ้ง ซึ่งมันก็พยายามโทรมาอีก ผมก็ตัดสายมันทิ้งอีก จนเกือบสิบครั้งได้ก็เงียบไป ซักพักมีเสียงข้อความเข้ามาแทน ผมก็เปิดดูเลยครับ
กูรู้ว่ากูผิด กูขอโทษ ให้อภัยกูได้ไหมครับเรน
แล้วมันก็ส่งข้อความมาอีกเรื่อยๆ ซึ่งมีภาพประกอบมาด้วยครับ (เป็นภาพน้องหมีกำลังร้องไห้) ทำเอาผมอดอมยิ้มกับความทะเล้นของมันเสียมิได้ เพราะถ้าไม่ติดว่ามีเรื่องเมื่อเช้าด้วยกัน มันก็เป็นคนที่น่ารักพอดูเหมือนกันครับ
เอาวะ ยอมยกโทษให้ก็ได้
พอคิดได้ดังนั้นก็ส่งข้อความกลับไป ซึ่งใช้เวลาไม่ถึงสองนาทีมันก็ส่งข้อความกลับมาหาผมทันที
ขอบคุณครับที่ให้โอกาสกู พรุ่งนี้เช้าเจอกันที่โรงอาหารนะ จุ๊บๆ ^O^
อ่านอะไรอยู่เหรอครับที่รัก เห็นยิ้มน้อยยิ้มใหญ่เชียว เสียงคุ้นหูดังขึ้น ไอ้ผมก็สะดุ้งตกใจสิครับ
อ้อ ไม่มีอะไรหรอกครับผมพูดพลางเก็บมือถือใส่กระเป๋าอย่างรวดเร็ว ว่าแต่พี่ซีทำธุระเสร็จแล้วเหรอครับ
ครับที่รัก กลับบ้านกันเถอะ เดี๋ยวจะดึกเสียก่อน
ครับพี่ซีแล้วผมก็นั่งรถกลับบ้านพร้อมกับพี่ซี โดยก่อนจะถึงบ้านพี่ซีพาผมแวะร้านก๋วยเตี๋ยวข้างทางด้วย

ปล.ขออภัยในความล่าช้า ตอนนี้คนเขียนป่วยค่ะ (เวียนหัวกับโลกหมุน คิดนิยายไม่ออกค่ะ) ถ้าพรุ่งนี้หายก็จะรีบกลับมาแต่งค่ะ


วันอังคารที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2556

ตอนที่ 15 บอย

ตอนที่ 15 บอย

เอี๊ยด! โครม!
เสียงรถเบรกก่อนจะตามด้วยเสียงอะไรบางอย่างชนเสียงดังสนั่นกัปนาท ทำเอาผมหันหลังกลับไปมองก่อนจะเบิกตากว้างด้วยความตกใจ แลเห็นร่างบางที่วิ่งตามหลังผมมาบัดนี้นอนกองกับพื้นด้านหน้ารถยนต์คันหนึ่ง
คุณริน!ผมร้องเรียกชื่อร่างบางก่อนจะวิ่งเข้าไปดูด้วยความเป็นห่วง ส่วนคนขับเองก็รีบลงจากรถมาดูด้วยครับ คุณรินฟื้นสิครับคุณริน
ผมพูดพลางเขย่าตัวเล็กที่นอนหลับตาอยู่ในอ้อมแขนผมอย่างเป็นบ้าเป็นหลัง
ฮะพี่ซีร่างบางลืมตาขานเสียงตอบอย่างแผ่วเบา ซึ่งแน่นอนว่าทำเอาผมถึงกับหายใจโล่งคอ พี่ซี ทำไมพี่ต้องเดินหนีผมด้วยครับ
ผมว่าคุณไปโรงพยาบาลก่อนดีไหมครับที่รักผมบอกด้วยความเป็นห่วง แต่ร่างบางกลับส่ายหน้าไปมา
ผมไม่เป็นอะไรครับพี่ซี รถไม่ได้ชนผม แต่เป็นเพราะผมตกใจ…ร่างบางพูดพลางหันหน้าหนีด้วยความเขินอาย …ก็เลยล้มลงไปเอง แหะๆ
ถ้าไม่เป็นอะไรแล้วก็ดี เมื่อกี้ผมกลัวแทบแย่เลย คนขับที่นั่งยองดูอยู่นานแล้วก็พูดขึ้นบ้าง
ผมต้องขอโทษด้วยนะฮะที่วิ่งตัดหน้ารถไอ้ตัวแสบหันไปพูดขอโทษคนขับรถครับ แหม ช่างเป็นเด็กดีอะไรอย่างนี้นะ ซึ่งคนขับรถก็ไม่ได้ว่าอะไร ได้แต่เตือนรินว่าคราวหน้าคราวหลังให้ดูทางให้ดีเสียก่อน เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว คนขับก็ขอตัว ส่วนผมก็พยุงพาร่างบางกลับไปที่ห้องพยาบาลต่อ (เพราะเห็นว่าที่หัวเข่ามีเลือดออกอยู่ ดูน่ากลัวมากครับ) “พี่ซีครับเมื่อครู่ตอนอยู่ห้องนี้ ทำไมพี่ซีถึงเดินหนีออกมาล่ะครับ”
น้องรินเอ่ยปากถามออกมา ซึ่งทำเอาผมที่กำลังเช็ดแผลบนหัวเข่าให้เจ้าตัวถึงกับหยุดชะงัก ที่ผมเดินหนีออกมาก็เพราะไม่อยากเห็นภาพบาดตา แต่ทำไมอีกฝ่ายถึงถามโดยไม่รู้สึกบ้างเลยหรือว่าผมจะคิดยังไง รู้หรือเปล่าว่ามันเจ็บแค่ไหนที่ต้องเห็นคนที่รักอยู่ในสภาพนั้น
“หรือว่าที่พี่ซีเดินหนีออกมา ก็เพราะโกรธที่พี่ออยเดินสะดุดหกล้มทับใส่ผมงั้นหรือครับ?” คำพูดของน้องรินทำเอาผมที่กำลังครุ่นคิดอยู่ในใจ ถึงกับเงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่ายด้วยความมึนงง
“เมื่อกี้ที่รักพูดอะไรนะครับ พอดีผมได้ยินไม่ชัด”
“เอ้าพี่ซีก็ ยังไม่ทันแก่ก็หูตึงซะแล้วรึ คิกๆ” ร่างบางพูดไปหัวเราะไปพลาง “ผมพูดว่าที่พี่ซีเดินหนีออกมาก็เพราะโกรธที่พี่ออยเดินสะดุดหกล้มทับใส่ผมงั้นหรือครับ”
ว่ายังไงนะ?!
ผมตกใจแทบสิ้นสติเมื่อได้ยินคำพูดจากร่างบาง งั้นสิ่งที่ผมเห็นก่อนหน้านี้มันก็เป็นความเข้าใจผิดของผมเองทั้งหมด ให้ตายสิ นี่ผมคิดเองเออเองหมดคนเดียวหรือเนี่ย รู้งี้น่าจะอยู่รอถามก่อนซะก็ดีหรอก
“ผมไม่ได้โกรธหรอกครับที่รัก...” ผมพูดพลางวางสำลีลงบนโต๊ะ ก่อนจะหันมาจับมือขาวเนียนอันบอบบางทั้งสองข้างของอีกฝ่ายขึ้นมาจุมพิตเบาๆ แล้วจึงค่อยเงยหน้าขึ้นมองร่างบางที่บัดนี้หน้าขึ้นสีอย่างเห็นได้ชัด “...แต่ผมหึงคุณตั้งหากล่ะ”

ผมหึงคุณตั้งหากล่ะ
ผมหึงคุณตั้งหากล่ะ
ผมหึงคุณตั้งหากล่ะ
เสียงของพี่ซีดังแว่วอยู่ในหัวผมสามครั้ง นี่ถ้าเป็นโลกแฟนตาซีผมคงได้ยินเสียงหัวตัวเองระเบิดดังตูมไปแล้ว แถมใบหน้าผมร้อนผ่าวจนอยากจะหาน้ำมาดับคลายร้อนซะเดี๋ยวนี้ หลังจากทำแผลเสร็จพี่ซีก็เอาเสื้อคลุมของคณะมาให้ผมใส่พร้อมกับพยุงผมเดินกลับมาห้องเชียร์อีกครั้ง ซึ่งทำเอาพวกไอ้เต้เอ่ยปากแซวผมกันยกใหญ่ พอสิ้นกิจกรรมเข้าห้องเชียร์ พี่ซีก็เดินเข้ามารับผมไปขึ้นรถตัวเองต่อหน้าพวกไอ้เต้ (พวกมันร้องโห่ครับ) หลังจากนั่งรถไปได้ซักพัก ผมก็เริ่มรู้สึกเอะใจอะไรบางอย่าง
พี่ซีครับ นี่มันไม่ใช่ทางที่จะกลับบ้านนี่ครับ
“ก็ไม่ใช่นะสิครับถามอะไรแปลกๆ” ร่างสูงพูดย้อนกลับมา ซึ่งทำเอาผมถึงกับมุ่นคิ้ว เพราะถ้าไม่กลับบ้านแล้วจะให้ไปไหนได้อีกล่ะ “เอ อย่าบอกนะว่าที่รักลืมที่เราคุยกันไว้เมื่อตอนกลางวันแล้วนะครับ”
เอ นี่ผมไปคุยกับพี่ซีตอนกลางวันได้ยังไงหว่า ก็ในเมื่อตอนนั้นผมนั่งทานข้าวกับไอ้บอยอยู่เลย
“ก็เมื่อตอนกลางวันผมชวนคุณทานข้าวกลางวันด้วยกันที่ตึกคณะ แต่คุณกลับบอกว่าจะไปทานกับเพื่อน ผมก็เลยนัดคุณทานข้าวด้วยกันตอนเย็นแทนนะ” สิ้นคำตอบจากพี่ซี ทำเอาผมถึงกับบางอ้อ ที่แท้คนที่พี่ซีคุยเมื่อตอนกลางวันก็คือรินนั่นเอง แต่จะว่าไปรินก็ไม่ยอมส่งข้อความมาบอกกันบ้างเลย นี่ถ้าเกิดผิดพลาดอะไรขึ้นมา มีหวังความลับได้แตกแน่
“อ้อ จริงด้วยสิครับ พอดีผมลืมไป ต้องขอโทษด้วยนะครับ” ผมรีบพูดขอโทษ ซึ่งพี่ซีก็ไม่ได้ว่าอะไร แล้วพี่ซีก็ขับรถพาผมไปเรื่อยๆ จนกระทั่งหยุดรถในที่แห่งหนึ่งซึ่งเป็นสถานที่ๆทำเอาผมถึงกับกลืนไม่เข้าคายไม่ออก เพราะเบื้องหน้าที่ผมเห็นนั้นคือโรงแรมหรูระดับห้าดาว “เอ่อ พี่ซีครับ แน่ใจแล้วเหรอว่าจะพาผมมาทานข้าวที่นี่นะ”
“แน่ใจสิครับ เพราะผมตั้งใจจะพาคุณมาทานที่นี่โดยเฉพาะ” ร่างสูงหันมายิ้มตอบกับผม
“แต่สภาพผมในตอนนี้ผมเกรงว่า...” ผมพูดพลางก้มมองเสื้อผ้าของตัวเองที่ตอนนี้ดูยับยู่ยี่ แถมกระดุมก็หลุดเป็นแผงถ้าไม่ได้เสื้อคลุมของพี่ซีปกปิดไว้คงจะแย่เอามากๆ (ไม่ใช่แค่นั้นครับ ทั้งผมทั้งพี่ซีต่างอยู่ในชุดนักศึกษา ถ้าเข้าโรงแรมด้วยพร้อมกันมันจะดูไม่ดี) “...พนักงานของโรงแรมจะเชิญพวกเราออกก็ได้นะครับ”
“หึๆถ้าเรื่องนั้นไม่ต้องเป็นห่วงครับที่รัก เพราะที่นี่เป็นโรงแรมในเครือของคุณพ่อผมเอง ฉะนั้นไม่ต้องกลัวว่าจะมีใครมาไล่พวกเราได้ครับ” พี่ซียิ้มตอบ ซึ่งทำเอาผมโล่งอก พอลงจากรถแล้วพี่ซีก็พาผมเดินเข้าในโรงแรม ก่อนที่ร่างสูงจะไปพูดคุยอะไรบางอย่างกับพนักงานในโรงแรม ซักพักก็เดินกลับมาจับมือผมให้ออกเดิน ซึ่งผมก็เดินตามไปอย่างว่าง่าย (มีพนักงานเดินนำทางด้วยครับ) พอพวกผมขึ้นลิฟต์ไปชั้นที่ 15 แล้ว ทันทีที่ประตูลิฟต์ได้ถูกเปิดออก ผมถึงกับตกตะลึงเมื่อได้เห็นห้องอาหารขนาดใหญ่ที่ถูกล้อมรอบด้วยกระจกใสแลเห็นบรรยากาศภายนอกยามค่ำคืนได้อย่างชัดเจน
เอ่อ มันจะดูหรูไปหน่อยมั้งครับพี่ซี...
ดูเหมือนพี่ซีจะอ่านความคิดของผมได้ จึงหันมาพูดยิ้มให้กับผม
“ไม่ต้องคิดมากนะครับที่รัก ถึงมันจะดูหรูแต่ผมก็อยากให้คุณได้ประทับใจกับนัดเดททานข้าวระหว่างเราสองคนในครั้งนี้อย่างเต็มที่” ไม่ว่าเปล่าเพียงอย่างเดียว ร่างสูงกลับบีบมือผมเบาๆอีกด้วย ซึ่งทำเอาผมในตอนนี้รู้สึกปลาบปลื้มเป็นอย่างมากที่พี่ซีเห็นความสำคัญกับผม แต่ในขณะเดียวกันผมเองก็ยังรู้สึกผิดต่อพี่ซี ผิดที่หลอกลวงเขามาโดยตลอดจนยากที่จะให้อภัยกับตัวเองได้ นี่ถ้าพี่ซีรู้ความจริงเข้า เขายังจะทำดีกับผมแบบนี้อยู่ได้อีกหรือเปล่านะ
ไม่อยากให้เวลานั้นมาถึงเลย
“ครับพี่ซี”

หลังจบเข้าห้องเชียร์ ผมก็ได้เมสเสจข้อความจากพี่ชายว่าจะกลับพร้อมกับพี่ซี ให้ขับรถกลับบ้านไปก่อนได้เลย ซึ่งทำเอาผมถึงกับถอนหายใจ เพราะเรื่องเมื่อตอนกลางวันผมไม่กล้าบอกเรนเลย (อายครับที่โดนพี่ซีกอดกับหอมแก้ม) ในขณะที่ผมกำลังขึ้นรถ อยู่ๆก็มีอะไรบางอย่างมาแตะไหล่ผมจากด้านหลัง
เฮ้ยไรวะ!ไอ้ผมก็ตกใจสิครับ รีบหันไปดูก่อนพบว่าเป็นไอ้บอยยืนยิ้มแป้นอยู่ โธ่ไอ้บอย ทีหลังถ้าจะโผล่มา ก็ช่วยให้ซุ่มให้เสียงกันบ้างด้วย
เออ กูขอโทษกูผิดเอง ว่าแต่มึงจะกลับบ้านใช่ไหม กูกลับด้วยคนนะ
เอ่อ ได้สิพอผมพูดจบ มันก็แย่งผมเข้าไปนั่งในส่วนคนขับรถเลยครับ เฮ้ย เดี๋ยวกูขับเองไอ้บอย
ไม่ กูจะขับเอง มึงรู้ทางกลับไปบ้านกูรึไงมันเถียงครับ ซึ่งผมก็ได้แต่จนใจ ปล่อยให้มันเป็นคนขับไป เออ ดีเหมือนกัน กำลังเหนื่อยๆอยู่พอดี (แถมเจ็บหัวเข่าด้วย สงสัยเรนวิ่งหกล้มอีกตามเคยมั้งครับ) พอได้ขึ้นรถแล้วผมก็เปิดเพลงก่อนเลยครับ อยากฟังเพลงสบายๆท่ามกลางแอร์เย็นๆในรถด้วย ส่วนมันพอเห็นผมเปิดเพลงก็หัวเราะหึๆ (หัวเราะพ่องมึงดิ แค่เปิดเพลงแค่เนี้ย) นั่งฟังเพลงไปนั่งฟังเพลงมาก็เผลอหลับไปโดยไม่รู้ตัว มารู้สึกอีกทีก็ได้กลิ่นอาหารโชยเข้ามา ตื่นแล้วเหรอ ลุกขึ้นมากินข้าวต้มก่อน กำลังร้อนๆอยู่เลย
ข้าวต้ม?
ผมมุ่นคิ้วครุ่นคิดในใจอย่างมึนงง ครั้นพอลืมตาขึ้นมาก็พบว่าตัวผมยังนั่งอยู่ในรถกับไอ้บอยอยู่
ไปเอาข้าวต้มมาจากไหนกัน แล้วที่นี่มันที่ไหน ผมถามพลางเอามือขยี้ตาตัวเองอย่างงัวเงีย
ก็เดินไปซื้อมาจากแถวๆนี้นะสิ ส่วนที่นี่คือที่ไหนนะรึ อยากรู้ก็ลุกขึ้นนั่งดูเอาเองนะมันพูดยิ้มๆอย่างยียวนกวนประสาท ซึ่งทำเอาผมลุกขึ้นนั่งพลางมองไปข้างหน้ารถ ก่อนจะเบิกตากว้างด้วยความตกตะลึง เพราะเบื้องหน้าที่ผมเห็นนั้นมันคือสะพานพระรามแปดที่มีแสงไฟส่องประกายสวยงามในยามค่ำคืน
สวยจังเลย
เอ้าๆอย่ามัวแต่ตะลึง รีบแดกข้าวต้มซะ เดี๋ยวก็เป็นโรคกระเพาะเอาได้นะมึง ไอ้บอยพูดแทรกความคิด ก่อนจะยื่นชามข้าวต้มพลาสติกมาให้ผม ซึ่งผมรับชามข้าวมาแต่ก็ยังไม่คิดจะลงมือทาน ไม่ต้องทำหน้างง พอดีช่วงนี้กูเห็นมึงทำหน้าเครียดก็เลยพามึงมาชมวิวเพื่อคลายเครียดก็เท่านั้นเอง
เครียด? ใครเครียด?!
ผมมุ่นคิ้วครุ่นคิดในใจอย่างสงสัย เพราะช่วงนี้ผมไม่ได้มีเรื่องให้ต้องคิดมากเลยซักนิด เอ หรือว่าจะเป็นเรนกันแน่ แต่คงไม่ใช่หรอกมั้ง เห็นหวานแหวกับพี่ซีซะทุกวันขนาดนั้นนี่นะ แล้วผมก็นั่งทานข้าวต้มไปชมวิวทิวทัศน์ไป ส่วนไอ้บอยมันก็ถือข้าวต้มครับ แค่ถือเฉยๆนะ แต่ตามองผมอยู่ตลอดเวลา
“มองกูอยู่ได้ จะแดกก็แดกไปสิ”
“เสียใจด้วยเรน กูแดกข้าวไม่ได้หรอกวะ”
“อ้าว ทำไมถึงแดกไม่ได้ล่ะ”
“เพราะแค่กูเห็นหน้ามึง กูก็อิ่มใจแล้วครับ”
!!!!!!!!!!

หลังจากทานข้าวเย็นกับพี่ซีเสร็จแล้ว อีกฝ่ายก็ขับรถมาส่งผมที่บ้าน แน่นอนว่าคุณพ่อคุณแม่บ่นนิดหน่อยที่ผมกลับดึก ซึ่งพี่ซีก็ได้พูดขอโทษขอโพยว่าคราวหลังจะไม่พากลับดึกอีก พอผมเข้าบ้านอาบน้ำอาบท่าเรียบร้อยแล้ว ก็นั่งอ่านหนังสือทำการบ้านรอรินกลับมาบ้านอยู่ที่ห้องรับแขก (คุณพ่อคุณแม่เข้านอนไปแล้ว ผมก็เลยต้องมารอเปิดประตูให้ครับ) หลังจากนั่งทำการบ้านได้ซักพัก เสียงมือถือของผมก็ดังขึ้นทันที ซึ่งไม่ต้องบอกก็รู้ว่าใครเป็นคนโทรมาหาผมในเวลานี้ (ไม่อยากรับแต่ก็จำใจต้องรับสายครับ เพราะไม่อยากให้อีกฝ่ายต้องเสียน้ำใจที่อุตส่าห์เสียเงินโทรมาหาผม)
“นอนหลับหรือยังครับที่รัก”
“ยังครับพี่ซี ผมกำลังทำการบ้านรอพี่ชายกลับมาบ้านอยู่ครับ”
“ดูท่าพี่ชายของคุณจะกลับดึกเหมือนกันนะ”
“เปล่าครับพี่ซี วันนี้แค่วันแรกเท่านั้นเอง” ผมพูดพลางยกดินสอขึ้นมาควงเล่น “แล้วพี่ซีล่ะครับ กำลังทำอะไรอยู่”
อีกฝ่ายได้ยินที่ผมถาม ก็หัวเราะออกมาเบาๆ
“หึ ผมก็กำลังคุยกับที่รักอยู่ยังไงล่ะครับ” เออจริงแหะ นี่ผมถามออกมาได้ยังไงเนี่ย ให้ตายสิ
บรื้น! เอี๊ยด!
เสียงรถจอดหน้าบ้าน ทำเอาผมลุกขึ้นไปดูหน้าต่างก่อนจะพบว่ารินกำลังลงจากรถ
เดี๋ยวผมต้องวางสายแล้วครับพี่ซี เพราะพี่ชายกลับมาบ้านแล้ว
อ๊ะ ครับ ฝันดีครับที่รัก ฝันถึงผมให้มากๆนะครับ แล้วอีกฝ่ายก็วางสายไป ส่วนผมรึ ก็สตั๊นไปสิบวิสิครับท่าน
ก๊อก ก๊อก
เปิดประตูให้หน่อยเสียงรินตะโกนบอก ทำเอาผมได้สติก่อนจะเดินออกไปเปิดประตูให้
กลับดึกนะริน มัวไปทำอะไรมาห๊ะเป็นพี่ชายทั้งทีต้องดุหน่อยครับ ส่วนรินเมื่อถูกผมดุก็เบะปากเหมือนจะร้องไห้ ก่อนจะเข้าโผกอดผมร้องไห้เสียงดังลั่น ไอ้ผมก็ตกสิครับ เพราะส่วนมากถ้ารินโดนผมดุ จะไม่ร้องไห้มากถึงขนาดนี้หรอกครับ เป็นอะไรริน ใครทำอะไรริน บอกเรนมาเดี๋ยวนี้นะ!!”
มัน ฮึก มัน ฮือๆ รินพูดไปร้องไห้ไปจนผมฟังไม่รู้เรื่องแล้วครับ
ทำใจร่มๆไว้ แล้วบอกพี่มาครับว่าใครเป็นคนทำริน ผมพูดพลางเอามือลูบหลังแฝดน้องอย่างแผ่วเบา ซึ่งอีกฝ่ายสูดน้ำมูก ก่อนจะพูดตอบด้วยน้ำเสียงแหบๆว่า
มัน ฮึก มัน
มัน? ใคร?
ฮึก มัน ฮึก ไอ้ ฮึก ไอ้บอย
ไอ้บอย? ไอ้บอยมันทำอะไรริน?!
ฮึก ไอ้บอยฮึก ไอ้บอยมันจูบริน!!”
!!!!!!!!